“ในที่สุดการหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ขายให้บริษัทในเมียนมา ตามแนวชายแดนไทยบริเวณ อ.แม่สาย จ.เชียงราย อ.แม่สอด จ.ตาก และ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ได้ข้อสรุปหยุดจ่ายไปตั้งแต่เช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เพื่อสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อาละวาดตุ้มตุ๋นคนไทยมาหลายปี“

หลังโยนกลองกันไปมาระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จนประชาชนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าพวกเสนาบดีทำงานกันแบบนี้หรือ ?
ยิ่งส่องถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่นายภูมิธรรม ระบุว่าคนไทยตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 557,500 คดี รวมเงินกว่า 86,000 ล้านบาท เฉลี่ยเสียหายวันละ 80 ล้านบาท รู้สึกปวดใจ
ยิ่งมองลึกลงไปถึงชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่อยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่เก็บออมไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิต หลายคนตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว ซึมเศร้า หลายคนถึงขั้นเป็นจิตเวช กลายเป็นความทุกข์ใจกันทั้งครอบครัว
ยิ่งส่องดูไทม์ไลน์ถึงประเด็นเสนอให้ตัดไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ต ทำให้ปวดใจหนัก เพราะนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน จุดพุลบอกรัฐบาลผ่านสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ 4 เมษายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น มีคำสั่งให้ทั้งไฟฟ้า ประปาและการสื่อสารที่ใช้กระทำผิด สั่งให้ระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรหมแดน ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 มีนายอนุทิน นั่งรองนายกฯควบตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
คำสั่งของนายเศรษฐาไร้ความขลัง เงียบเหมือนเป่าสาก ไร้การตอบสนองจากกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดุแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพวกรัฐมนตรีทั้งหลายที่นั่งชูคอเข้าบริหารประเทศนั้นมาเพียงเพื่อดูแลผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นหรือ ?
ยิ่งได้เห็นอาการของนายอนุทิน ช่วงที่นายทักษิณ ชินวัตร พ่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศบนเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หลายเวทีว่าเพื่อตัดแขนตัดขาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะต้องให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค งดจ่ายกระแสไฟฟ้าไปฝั่งเมียนมา
จังหวะนั้นผู้สื่อข่าวนำประเด็นดังกล่าวไปถามนายอนุทิน ว่าจะดำเนินหรือไม่และเมื่อใด นายอนุทินตอบว่ารอคำสั่งอยู่ รอนายกรัฐมนตรีสั่ง ทำให้อดสงสัยว่านายอนุทิน เป็นรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศหรือเป็นนักการเมืองแล้วกลายร่างเป็นข้าราชการประจำ ที่ต้องนั่งรอคำสั่งนายกรัฐมนตรีสั่งการทั้งที่มีอำนาจอยู่เต็มมือ แม้แต่นายภูมิธรรม ยังบอกว่ารัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย สามารถดำเนินการได้เลย
ยิ่งทำให้อดสงสัยเพิ่มขึ้นว่าตามที่นายเศรษฐาเคยมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการสาธารรูปโภคข้ามแดน เพื่อตัดแขนตัดขาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไร้การตอบรับจากกระทรวงมหาดไทย จึงไม่แน่ใจว่าในจังหวะนั้นนายอนุทิน ได้รู้สึกรู้สากับความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้างหรือไม่ ?
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ แต่วิญญูชนพึงประเมินได้ว่าเสนาบดีทั้งหลายที่นั่งบริหารประเทศนั้น ต้องรู้สึกรู้สาถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านแน่นอน เว้นเป็นพวกที่เข้ามาเพียงเพื่อแสวงอำนาจไว้ปกป้องธุรกิจของตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น
ดังนั้นในการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าไปฝั่งเมียนมา ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา มาถึงยุค น.ส.แพทองธาร สำเร็จลงได้ ต้องยกเครดิตให้นายทักษิณ เพียงผู้เดียว โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องคอยรับคำสั่งไปดำเนินการเท่านั้น
แม้นักวิจารณ์การเมืองจะมองว่าที่รัฐบาลเร่งตัดกระแสไฟฟ้านั้นมาจากแรงกระตุ้นของผู้ช่วยรัฐมนตรีของจีน แต่ถ้ามองอย่างให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาล ถือเป็นจังหวะที่บรรจบกันพอดี เพราะประเด็นการตัดกระแสไฟฟ้านายทักษิณ จุดพลุมาก่อนหลายรอบแล้ว เพียงแต่รัฐมนตรีขุนพลอยพยักยังไม่กล้าจัดการเท่านั้น
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องยกเครดิตให้นายทักษิณ ขอให้ลองพิจารณาทบทวนเหตุการณ์ก่อนที่จะมีมติงดจ่ายกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ เริ่มที่การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)หลังการประชุม น.ส.แพทองธาร แถลงผลด้วยอาการมั่นอกมั่นใจว่าต้องตัดกระแสไฟฟ้า รวมถึงงดขายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยเพราะสามารถไปใช้กับเครื่องปั่นไฟฟ้าได้ ถัดมานายภูมิธรรม เร่งประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) มีนายอนุทิน ร่วมด้วย หลังการประชุม นายอนุทินเดินออกมาทำมือเป็นสัญลักษณ์กรรไกร จากนายภูมิธรรมแถลงผลการตัดไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ
เมื่อมองทุกบริบทของทุกคนแล้วโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี พออนุมานได้รับการชี้แนะจากนายทักษิณมาแล้ว เพราะแถลงข่าวด้วยอาการมั่นอกมั่นใจและสัญญาณนี้ส่งถึงทั้งนายภูมิธรรมและนายอนุทินด้วย
ที่”จอมมารน้อย”กล้าประเมินแบบนี้ เนื่องจากประเด็นตัดไฟฟ้า นายเศรษฐาได้สั่งการไว้แล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร โดยเฉพาะจากนายอนุทิน กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแต่มาสำเร็จในยุค น.ส.แพทองธาร ที่มีพ่อเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิด
จึงได้แต่มองด้วยความรู้สึกอดสูว่าถ้ามาเป็นรัฐมนตรีมีอำนาจเต็ม แต่ต้องนั่งรอคำสั่งแบบข้าราชการประจำ ควรทิ้งตำแหน่งกลับไปอยู่บ้าน ไปทำงานที่ตัวเองชอบแล้วโชว์ผ่านโซเซียลน่าจะดีกว่าเยอะเลย !!!
