“ มิได้อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใดที่ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2)สั่งย้าย พ.ต.อ.โชติ ละม่อม ผกก.สภ.องครักษ์ จ.นครนายก ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 2 ขาดจากต้นสังกัดเดิม เซ่นจับบ่อน เพราะเป็นเสมือนประเพณีปฏิบัติเฉพาะตำรวจเพียงหน่วยเดียวเท่านั้น“

หลังนายชานน วาสิกศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นำกำลังฝ่ายปกครองเข้าจับบ่อนการพนันรายใหญ่ได้นักพนัน 218 คน ยึดเงินสดและชิปแทนเงินสดมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท และอุปกรณ์การเล่นพนันจำนวนมาก ทางสืบสวนพบว่าบ่อนแห่งนี้มีนักพนันจากในหลายพื้นที่เข้าไปเล่นจำนวนมาก เปิดเล่นมาเกือบหนึ่งปี แต่หลบเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่หลายครั้ง จนนำไปสู่การวางแผนจับกุมร่วมกันระหว่างส่วนกลางและพื้นที่
การจับกุมบ่อนการพนันครั้งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไรสุดจะคาดเดา แต่มีเสียงนินทาในแวดวงสีกากีว่าเป็นการตีวัวกระทบคราดเพราะตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.นครนายก บิ๊กกระทรวงคลองหลอด ตีตราจองให้กับคนใกล้ชิดแต่ไม่ได้ดังหวัง เลยโชว์ศักยภาพให้คนในทำเนียบรัฐบาลดู โดยอ้างนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลบังหน้า เท็จจริงประการใดต้องสืบข่าวกันเอง
แต่”ประดู่แดง”ขอนำเสนอชุดความจริงว่าในแวดวงข้าราชการในระดับจังหวัดตำรวจและฝ่ายปกครอง ทำงานกันแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เพราะมีอำนาจหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่ตำรวจมีกฎหมายที่ต้องบังคับใช้มากกว่า แต่หลายฉบับที่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องอาทิ กฎหมายการพนัน สถานบันเทิง สินค้าหนีภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ทั้งตำรวจและฝ่ายปกครองต่างมีอำนาจสืบสวนจับกุมพอๆกัน
โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการพนัน สถานบันเทิง สินค้าเถื่อน จะเอื้อเฟื้อกันเป็นพิเศษแบบทางใครทางมัน ถ้ามีเหตุหรือคำสั่งพิเศษจากหน่วยเหนือให้สืบสวนจับกุม ต่างส่งสัญญาณให้รับรู้และป้องกันแต่เนิ่นๆ
ขอยกตัวอย่างกรณีเปิดบ่อนการพนัน ถ้าระดับอำเภอ จะมีตัวแทนนายอำเภอเป็นหัวเบี้ย เจรจากับหัวเบี้ยของหัวหน้าโรงพักขอเปิดบ่อนการพนัน บางพื้นที่ฝ่ายปกครองและตำรวจต่างฝ่ายต่างเปิด บางพื้นที่ถ้านายอำเภอกับหัวหน้าโรงพักใกล้ชิดกันจะเปิดร่วมกัน หรือบางจังหวัดพ่อเมืองโลภ จะมอบหมายให้ปลัดจังหวัดไปจัดการดูแลผลประโยชน์ ทั้งจากบ่อนการพนัน สถานบันเทิงเปิดเกินเวลา รวมถึงสินค้าหนีภาษี บางจังหวัดปลัดจังหวัดฯกับผู้ว่าฯเกาเหลากัน แต่ต่างฝ่ายอยากได้ผลประโยชน์ จะตั้งชุดเฉพาะกิจหรือเรียกติดปากว่าชุดเฉพาะเก็บ ขึ้นมามีอาสาสมัคร(อส.)เป็นกำลังสำคัญ
ซึ่งพฤติกรรมลักษณะนี้มีเกือบทุกจังหวัด ถ้าผู้การจังหวัดกับผู้ว่าฯ เจรจากันลงตัวจะดำเนินการร่วมกัน แต่ถ้าไม่มีความสนิทสนมกันหรือโลภพอๆจะต่างฝ่ายต่างทำ โดยไม่ก้าวก่ายกัน เว้นแต่ทับเส้นทางกันแล้วเจราจาผลประโยชน์ไม่ลงตัว การสืบสวนจับกุมจะปรากฏให้สังคมเห็น
อดีตปลัดจังหวัดฝั่งอันดามันคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า บ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ หรือสถานบันเทิงผิดกฎหมาย ถ้าประสานผลประโยชน์กับตำรวจได้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปด้วยดี ผลประโยชน์แต่ละเดือนจะแบ่งจ่ายกันทุกระดับอย่างทั่วถึง มากน้อยตามชั้นยศ แต่ถ้าเป็นหัวเบี้ยจะได้เยอะหน่อย อาทิจากบ่อนการพนันอย่างเดียวเดือนละประมาณ 200,000-300,000 บาท
“ฟากของตำรวจจะจัดการกันเอง ถ้าผู้การฯโลภจะตั้งหัวเบี้ยให้เดินสายเก็บจากหัวหน้าโรงพักแต่ละโรงพักเอง ถ้าไม่โลภจะมอบหมายให้ตำรวจแต่ละโรงพักรวมถึงกองสืบจัดสรรให้ตามจำนวนผลประโยชน์ที่รับมาแต่ละเดือน”อดีตปลัดจังหวัดคนดังกล่าวระบุและว่าทั้งตำรวจและฝ่ายปกครอง อยู่กันแบบไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ถ้าไม่เห็นตีนงูหรือนมไก่เมื่อใด การจับกุมจะเกิดขึ้นให้เห็นทันที แต่ตำรวจจะเสียเปรียบถ้าโดนหน่วยอื่นมาจับจะถูกสั่งเด้งทันที ถ้าตำรวจจับกุมฝ่ายปกครองจะลอยตัวไม่ต้องถูกย้าย เพราะทั้งผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัด และนายอำเภอ จะโยนว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ ทั้งที่รับผลประโยชน์รับพอๆกัน
ถ้านำคำบอกเล่าของอดีตปลัดจังหวัดฯมาเปรียบเทียบกับการจับกุมบ่อนการพนันในอำเภอองครักษ์ ในประเด็นที่ว่าบ่อนเปิดมาเกือบปีแล้ว แต่หลบเลี่ยงการจับกุมได้ตลอด เลยต้องวางแผนจากส่วนกลาง พอนุมานได้ว่าข่าวรั่ว โดยเจ้าหน้าที่รัฐคอยส่งสัญญาณถึงเจ้าของบ่อน
เมื่อมองอย่างวิเคราะห์ตามเนื้อหาพอคาดเดาได้ว่าต้องเป็นตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไม่น่าจะเกี่ยวข้องเพราะฝ่ายปกครองเข้าจับเอง จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าเมื่อบ่อนเปิดมาเกือบปี นายอำเภอมีอำนาจเต็ม ปลัดป้องกันมีอำนาจสืบสวนจับกุม ทำไมไม่หามาตรการป้องกันไม่ให้เปิด หรือผู้ว่าฯทำไมไม่สั่งการให้นายอำเภอสกัดไม่ให้เปิด ยิ่งพื้นที่องครักษ์แค่หยิบมือเดียวสามารรถวางกำลังตรวจเข้มได้อยู่แล้วถ้าไม่มีอะไรมาบังตา และนายอำเภอรวมถึงผู้ว่าฯสามารถที่จะสั่งการให้ตำรวจป้องกันตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดแล้ว แถมเป็นบ่อนใหญ่อีกต่างหากถามเด็กอมมือยังรู้เลยว่านี่คือบ่อน ไม่ใช่ปล่อยมาเกือบปีถึงเข้าจับกุม
“ ถ้านายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายจัดการกับบ่อนการพนันจริง ต้องตั้งกรรมการสอบสวนฝ่ายปกครองที่เกี่ยวข้องทุกคนรวมถึงนายอำเภอด้วย และเพื่อให้การสอบสวนไปลูบหน้าปะจมูกต้องสั่งย้ายนายอำเภอออกนอกพื้นที่แบบเดียวกับที่ ผบช.ภ.2 สั่งเด้งหัวหน้าโรงพักองครักษ์“
แต่ถ้ากระทรวงมหาดไทยวางเฉย ตำรวจแอ็คชั่นอยู่ฝ่ายเดียว อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุจับบ่อนเกิดขึ้นเพราะฝ่ายปกครองตั้งใจปฏิบัติหน้าที่หรือขัดผลประโยชน์กัน หรือบิ๊กมหาดไทยต้องการตีวัวกระทบคราดไปถึงคนในทำเนียบฯที่ไม่ยอมสนองตอบตามตั๋วที่ขอไป
“ประดูแดง”ในฐานะประชาชนคนธรรมดา มองแค่ทางเดียวคือ ผลประโยชน์ขัดกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตามที่ยกมา !!!


