โทรโข่ง ทุก บช.ต้องเร่งตีปิ๊บผลงาน กองสารนิเทศ ต้องรีบสปีดเป็นแม่งานซัพพอร์ตเพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ชาวสีกากี                  

668

                                                   
  “         นับแต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีจากจีนพร้อมทีมงานหอบข้อมูลเข้าหารือกับผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประสานการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ตั้งฐานในฝั่งเมียนมาและกัมพูชา ทำให้องค์กรตำรวจเป็นหน่วยแรกที่ตกเป็นเป้าถูกวิจารณ์หนัก ทั้งที่ตามแนวชายแดนมีทั้งทหารและฝ่ายปกครอง รับผิดชอบอยู่เช่นกัน

          “ประดู่แดง”ไม่ขอแสดงความเห็นเพราะรู้กันอยู่ว่าที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ผยองอยู่ได้ ล้วนมีคนในเครื่องแบบคอยเอื้อเฟื้อทั้งสิ้น อยู่กันแบบไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ แต่ตำรวจในพื้นที่กลับถูกผู้บังคับบัญชาเซ่นสังเวยก่อนหน่วยอื่น แต่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องภายในสำนักปทุมวันสักหนึ่งประเด็นเพราะเชื่อว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับผู้เกี่ยวข้องบ้าง   คือประเด็นที่จั๋วหัวไว้ เพราะเท่าที่ติดตามการทำงานของทีมงานโฆษก กองบัญชาการ(บช.)หลักๆที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ มีเพียงไม่กี่ บช.ที่ทำงานเชิงรุก ประชาสัมพันธ์ผลงานการสืบสวนจับกุมคนร้ายพร้อมทำประชาสัมพันธ์เชิงรุกเตือนประชาชนให้ระวังภัยอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ

     บช.ที่โดดเด่นประชาชนเข้าถึงได้มากสุด ประกอบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.)และกองบัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บช.สตม.) เป็นต้น แต่ละบช.ผลิตสื่อออกมาสื่อสารกับประชาชนอย่างหลากหลายแพลตฟอร์ม และเข้าถึงง่าย แต่ขณะที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค(บช.ภ.) 1-9 การประชาสัมพันธ์แบบเชิงรุกแทบจะไม่เห็น ยกเว้น บช.ภ.2 จะเห็น พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนง ผบช.ภ.2 แอ็คชั่นตอบสนองนโยบาย ตร.และรัฐบาลอยู่เต็มที่ มีข่าวปรากฏตามสื่อทั้งกระแสหลักและกระแสรองเกี่ยวคดีที่ต่างๆที่ พล.ต.ท.ยิ่งยศ ลงไปลุยเอง

    สำหรับการทำประชาสัมพันธ์เชิงรุกมีแต่ผลดี นอกจากจะทำให้ประชาชนได้รับรู้ข่าวสาร และได้ความรู้เพื่อใช้ระวังภัยแล้ว ยังช่วยเสริมให้องค์กรตำรวจมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นด้วย และที่มองข้ามไม่ได้คือสามารถช่วยยับยั้งคนบางกลุ่มไม่ให้ก่ออาชญากรรมได้ เพราะถ้าก่อมีโอกาสถูกจับกุมมากกว่าหนีรอด แต่เมื่อเขียนถึงงานประชาสัมพันธ์แล้ว ต้องนึกถึงบทบาทของกองสารนิเทศ(บก.สท.) เพราะถ้าดูตามโครงสร้างตร.ถือว่าเป็นแม่งานด้านประชาสัมพันธ์ ของสำนักสีกากี เลยที่เดียว เพราะอดีตที่ผ่านมา อธิบดีกรมตำรวจ(อ.ตร.)หรือ ผบ.ตร.ในปัจจุบัน ต่างให้ความสำคัญค่อนข้างสูง

        แต่เดิมเป็นแค่กองกำกับการ(กก.) มี พ.ต.อ.กำกับ ต่อมายุคของ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา เป็น
อ.ตร.ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ จึงยกฐานะเป็นกองบังคับการ(บก.)มี พล.ต.ต. กำกับดูแล ห้วงเวลานั้นกองสารนิเทศ บทบาทโดดเด่นด้านประชาสัมพันธ์มาก มี พล.ต.ต.ไพรัช พงษ์เจริญ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพงศพัศ โชว์บทบาทได้โดดเด่น สร้างศรัทธาให้กับประชาชนอย่างสูง เพื่อให้เกิดการทำงานแบบเชิงรุกทาง ตร.เปิดรับนายตำรวจที่จบด้านนิเทศศาสตร์ เข้ารับตำแหน่งรองสารวัตรแผนกต่างๆ เล่นได้สมบทบาท เพราะเข้าใจงานด้านสื่อสารมวลชน

      สท.ได้โชว์งานด้านประชาสัมพันธ์แบบมืออาชีพมาหลายยุค แต่ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผบ.ตร.บางคนกลับไม่ใช้ สท. เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร แต่กลับใช้เป็นทางผ่านแต่งตั้งคนใกล้ชิดก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นทั้งยศนายพลยันสารวัตร พอมีโอกาสย้ายระนาบไปนั่งตำแหน่งที่มากด้วยผลประโยชน์

    “บางยุค ผบ.ตร.ตั้งทีมงานโฆษกฯขึ้นเอง แต่ไร้ชื่อตำรวจที่สังกัด สท. ทำให้ตำรวจส่วนใหญ่ต่างมอง สท.เป็นเพียงแค่ทางผ่านให้ตำรวจที่ขยับขึ้นและเป็นสุสานสำหรับตำรวจที่ถูกย้ายระนาบ”

       หากมองขอบเขตงานแล้ว บก.สท.ถือเป็นแม่งานใหญ่ที่ต้องซัพพอร์ตงานด้านประชาสัมพันธ์ให้กับทุก บช. ทั้งสนับสนุนข้อมูลหรือแก้ต่างเรื่องอื้อฉาวต่างๆที่สามารถทำได้อย่างรอบด้าน เพราะ
บก.สท.จะมีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับสื่อมวลชนทั้งสื่อกระแสหลักและกระแสรองได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

      ดังนั้นเพื่อให้งบประมาณที่ใช้บก.สท.ไม่สูญเปล่าและไม่ให้ถูกมองว่าเป็นทางผ่านหรือสุสานของตำรวจบางคนบางกลุ่ม คงเป็นโจทย์ข้อใหญ่ให้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ย้ายจากรองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษมาติดยศนายพลที่ บก.สท.แก้ ด้วยการผลักดันให้ บก.สท. เป็นแม่งานหลักค่อยซัพพอร์ต งานด้านประชาสัมพันธ์ให้ทั้งทีมงานโฆษกตร.และโฆษกทุก บช. ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านต่างๆที่จะต้องอธิบายให้กับสังคมได้เข้าใจ รวมถึงคิดแพลตฟอร์มที่สามารถสื่อสารแบบเข้าถึงประชาชนได้ง่าย

     ถ้ามองอย่างวิเคราะห์ถือว่าเป็นโจทย์ยากที่จะทำให้ บก.สท.กลับคืนฟอร์มเป็นแม่งานหลักด้านประชาสัมพันธ์  เพราะปัญหาถูกหมักหมมมานาน แต่ถ้าจะให้เป็นแค่ทางผ่านหรือสุสาน ไม่ต้องทำอะไรเพราะเป็นอยู่แล้ว

    ดังนั้นจากนี้ไป ผบ.ตร.คัดเลือกมาเองหวังให้มากอบกู้องกรค์ คงต้องจับตาดูว่า”พล.ต.ต.วรศักดิ์”จะเลือกแบบไหนเพื่อให้สมราคาที่ข้ามห้วยมาติดยศ พล.ต.ต.เหมือน คนอื่นหรือไม่ เพราะ ผบ.ตร.พร้อมทั้งสื่อสายประจำ ตร.เองต่างคาดหวัง อยากเห็นงานประชาสัมพันธ์เชิงรุก ให้ประชนชนได้รับรู้ในภาพบวกขององค์กรให้เป็นที่ยอมรับ !!!