ศาลแพ่ง ประทับรับฟ้องคดี”มารดาของพลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม”ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหมเรียกค่าเสียหาย 4 ล้านกว่า

1251

เมื่ิอวันที่ 28 มกราคม 2568 ที่ศาลแพ่ง
ผู้สื่อข่าวไทยแทบลอยด์รายงานว่า อนุกรรมการด้านคดีสิทธิมนุษยชนสภาทนายความ มอบหมายให้ ทนายศิริ โขนแจ่ม เป็นทนายความนางเรณู หมดราคี มารดาของพลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม ซึ่งได้ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหม เป็นจำเลยที่หนึ่ง กองทัพบก เป็นจำเลยที่สอง และจำเลยอื่นรวม 13 คนต่อศาลแพ่งซึ่งได้เสนอข่าวไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้ศาลแพ่งนัดไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล

ศาลออกพิจารณาคดี บัลลังก์ 703 โจทก์นำพยานเข้าไต่สวนคำร้อง 2 ปาก พร้อมนำส่งเอกสารประกอบ ศาลพิจารณาได้ความว่า คดีโจทก์มีมูลพอที่จะชนะคดีได้ และโจทก์เป็นผู้ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอจะชำระค่าธรรมเนียมศาลได้จึงอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นทั้งหมดและศาลนัดชี้สองสถานวันที่ 24 มีนา 2568 เวลา 09:00 น.

สำหรับคดีดังกล่าว อนุกรรมการคดีสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ เดินทางมายื่นฟ้องในคดีที่ นางเรณู หมดราคี มารดาผู้ตายในฐานะทายาทโดยชอบธรรมของนายยุทธกินันท์ บุญเนียม ผู้ตายเป็น โจทก์ฟ้อง กระทรงกลาโหมและทหารจำนวน 13 นาย เป็นจำเลยที่ 1 ถึง 13 ในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหาย 4 ล้านหนึ่งแสนสามหมื่นหนึ่งพันบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2560 พลทหารภูวเดช ธนายุทธภูมิ จำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกจำเลยซึ่งเป็นทหารรวม 11 นาย ได้ร่วมกันละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ของพลทหารยุทธกินันท์ โดยทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิต โดยผู้ตายเป็นทหารกองประจำการรุ่นปี 2558 ผลัดที่ 1 กองร้อยมณฑลทหารบกที่ 45 ได้ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ประจำทหารสารวัตร โดยผู้ตายถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม ดื้อดึง ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา จึงถูกส่งตัวกลับหน่วยต้นสังกัดเดิม พร้อมลงทัณฑ์ในข้อหากระทำผิดวินัยทหาร ถูกจำขังเป็นเวลา 15 วัน เมื่อถูกนำไปสั่งที่เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 15 มีส.อ.สุรเชษฐ์ พรหมาศ จำเลยที่ 12 เป็นผู้คุมเรือนจำ ได้ทำการตรวจร่างกายพบว่าผู้ตายสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว แต่พบสารเสพติดในปัสสาวะ จึงนำตัวผู้ตายไปใส่เครื่องพันธนาการ (ตีตรวน) พร้อมรายงานให้ ร.ท.ฐิติกานต์ เวชสิทธิ์ จำเลยที่ 13 โดยสั่งให้ผู้ตายออกกำลังท่าลุกหมอบจำนวน 300 ครั้งวันละ 3 เวลา ซึ่งเป็นการทำโทษผู้ต้องขังใหม่


ต่อมาในวันเดียวกันเวลา 21.00 น.จำเลยที่ 4-11 นั่งดื่มสุราอยู่บริเวณม้านั่งหินอ่อนบริเวณเรือนจำกับจำเลยที่ 12-13 จนถึงเวลา 01.20 ของวันที่ 28 มี.ค. 2560 ขณะผู้ตายนอนหลับอยู่หน้าห้องน้ำภายในห้องขัง จำเลยที่ 4, 5,7 และ 11 เดินเข้ามาปลุกให้ผู้ตายลุกขึ้น พร้อมกับปลุกผู้ต้องขังอีก 3 คน ได้แก้จำเลยที่ 8 ,9และ 10 (พลทหาร) ให้เข้ามาหาผู้ตาย โดยจำเลยที่ 5 สั่งให้จำเลยที่ 8,9,10 รุมทำร้ายผู้ตายนานถึง 5 นาที และยังสั่งให้ทั้งสามคนจับผู้ตายกดหัวให้ติดกับลูกกรงในห้องขังอยู่ในลักษณะที่ยืนกางแขน และใช้ผ้ามัดแขนให้ติดกับลูกกรงและสั่งให้ทั้งสามคนรุมทำร้ายผู้ตายนาน 4 นาที จากนั้น จำเลยที่ 4,5,10 และ 11 ได้เข้ามารุมชกและใช้เท้าถีบผู้ตาย จากนั้นมีการสั่งให้รุมทำร้ายอีกหลายครั้ง ทำให้ผู้ตายมีอาการบาดเจ็บทุรนทุราย มีการใช้ถุงพลาสติกเจาะรูคลุมศรีษะผู้ตายนาน 1 นาที จนกระทั่งเวลา 02.01 น.จำเลยทั้งหมดจึงออกจากห้องขังปล่อยให้ผู้ตายนอนเปลือยกายอยู่บนพื้น อีก 20 นาทีต่อมา จำเลยทั้งหมดเดินวนกลับมาทำร้ายผู้ตายอีกรอบ เมื่อถึงเวลา 03.40 นาที จำเลยที่ 8,9 และ 10 ใช้ผ้าขาวม้าผูกข้อเท้ากับลูกกรงในลักษณะห้อยศรีษะลงมา และนำผ้าขนหนูชุบน้ำมาปิดหน้าผู้ตาย

กระทั่งเวลา 06.00 น. ผู้ต้องขังทั้งหมดถูกเรียกจากอาคารนอนมารวมแถวเพื่อเช็คยอด พลทหารได้ช่วยกันปลดผู้ตายออกจากลูกกรง ตัดกางเกงที่พันตัวผู้ตายและช่วยกันพยุงออกมาจากเรือนนอน โดยสิบเวรได้สั่งให้ผู้ตายยืนตากแดดหน้าโรงอาหาร ผู้ตายมีร่องรอยฟกช้ำตามร่างกาย และแผลแตกบริเวณคิ้ว จนยืนไม่ไหวจึงนอนฟุบตรงพื้น เมื่อจำเลยที่ 13 เดินมาเห็นกลับสั่งให้ผู้ช่วยสิบเวรนำผู้ตายไปอาบน้ำและนำมาที่โต๊ะอาหารก่อนจะนำไม้ไผ่ตีผู้ตายจำนวน 2 ครั้งโดยไม่มีการส่งไปพบแพทย์แต่อย่างใด และระหว่างวันที่ 29-30 มี.ค. ผู้ตายยังถูกสั่งให้ไปนอนตากแดดทั้งที่ร่างกายรับไม่ไหว ต่อมาในวันที่ 31 มี.ค.ผู้ตายมีอาการศรีษะบวมและมีไข้สูง จำเลยที่ 13 จึงส่งผู้ตายไปยังโรงพยาบาลวิภาวดี ก่อนที่แพทย์จะส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

โดยแพทย์นิติเวชมีความเห็นว่า ผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่งทั้งบาดแผลฉีกขาดกระจายทั่วร่างกาย สาเหตุการเสียชีวิตมาจากอาการไตวาย ภาวะเลือดเป็นกรด และไตทำงานหนัก การกระทำของจำเลยที่ 3 ถึง 13 เป็นการจงใจละเมิดให้ผู้ตายได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และเสรีภาพ มีการนำผ้าขาวม้าผูกคอผู้ตายที่อยู่ในสภาพเปลือยกายจนมีอาการขาดอากาศหายใจ เมื่อจำเลยที่ 13 ทราบเรื่องกลับไม่ส่งตัวไปรักษาเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ 3 ถึง 13 เป็นการละเมิดต่อผู้ตายให้ถึงแก่ความตายโดยทารุณและโหดร้าย

คดีนี้อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 45 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ถึง 13 ต่อมณฑลทหารบกที่ 45 โดยลงโทษจำเลยที่ 3, 4,5 และ 8 ในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยทรมานเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกคนละ 6 ปี และลงโทษจำเลยที่ 6,7, 9 และ 11 คนละ 8 ปี และจำเลยที่ 10 จำคุก 5 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 12 มีความผิดฐานขัดขืนละเลยมิกระทำตามข้อบังคับ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่นฯ จำคุก 6 ปี จำเลยที่ 13 มีความผิดฐานขัดขืนละเลยฯ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่แต่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ฯ และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นฯ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 13 มีกำหนด 3 ปี

การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 3-13 นอกจากจะเป็นความผิดทางอาญาแล้วยังเป็นการละเมิดผู้ตายรวมถึงมารดาของผู้ตาย จำเลยที่ 3-13 ต้องร่วมกันชดใช้สินไหมทดแทนแก่โจทก์ โดยทั้งหมดอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และ 2 จึงขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าทนทุกทรมานจากการทำร้ายร่างกาย 80,000 บาท ค่าปลงศพ 700,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ เดือนละ 5,000 บาท คำนวณจนผู้ตายอายุ 60 ปี เป็นเงิน 2,280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 1,071,000 บาท รวมที่จำเลยทั้งหมดต้องชดใช้เป็นเงินทั้งสิ้น 4,131,000 บาท

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #ข่าวอาชญากรรม