“ บนโลกโซเชียลประเด็นฝุ่นพิษ PM 2.5 คลุมเมือง ฮิตสุดทุกแพลตฟอร์มนำเสนอกันแบบเกาะติด เช้า สาย บ่าย เย็น ถ่ายรูปพร้อมคำบรรยายลงสื่อทั้งส่วนตัวและสื่อกระแสหลัก เนื้อหาเชิงเสียดสีรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่แก้ปัญหาได้ล้มเหลวมาก“

รวมถึง สส.ฝ่ายค้าน เสียดสี นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แบบเต็มสูบว่าหนีฝุ่นพิษไปสูดอากาศดีในต่างแดน ส่งผลให้ขาเชียร์รัฐบาลดาหน้ากันออกมาปกป้องว่าไปทำงานเพื่อชาติ ช่วงวิกฤตยังประชุมสั่งการรัฐมนตรีทุกกระทรวงให้เร่งดำเนินการ แต่การแก้ปัญหาของรัฐบาลส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่มากกว่า อาทิ ให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้าฟรี 7 วันแทนการขับรถไปทำงาน ขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชนทำจากที่บ้าน สั่งปิดโรงเรียนในพื้นที่เกิดฝุ่นพิษที่เป็นอันตราย
กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ซึ่งบทบาทนี้ตำรวจจะเป็นองค์กรที่ต้องรับบทหนักเสมอ ทั้งที่กฎหมายหลายฉบับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานนั้นสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลยังสั่งกำชับตำรวจ อาจเป็นเพราะถ้าสั่งการตำรวจทำให้ชาวบ้านรู้สึกสัมผัสได้ว่ารัฐบาลเอาจริง ซึ่งเป็นบริบทที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งอยู่แล้ว เมื่อมีกฎหมายมาเป็นตัวเดินเรื่อง ตำรวจจึงไม่ต่างหนังหน้าไฟที่ต้องทนรับความร้อนแทนรัฐบาลหรือหน่วยงานอื่นก่อนเสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)เด้งรับด้วยการออกคำสั่งให้ตำรวจทุกหน่วยเพิ่มมาตรการเข้ม ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดสาเหตุการก่อฝุ่นละอองขนาดเล็ก พีเอ็ม 2.5 ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน แบ่งออกเป็น
รถ-ตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมาย เข้มงวดกับผู้ที่นำรถยนต์ที่มีลักษณะปล่อยควันดำมาใช้บนถนน พร้อมออกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษเกินกว่ามาตรฐาน
โรงงาน ก่อสร้าง-ตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมายกับผู้ประกอบการโรงงานที่มีลักษณะปล่อยมลพิษทางอากาศและการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ไร่ นา ป่า สวน-ตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผาป่า พืชไร่และพื้นที่เพาะปลูกเพื่อทำการเกษตร เผาในที่โล่งและกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ร่วมมือ-บูรณาการกับกรมการขนส่งทางบก หน่วยงานต่างๆที่รัฐและเอกชนในการสนับสนุนการดำเนินการทั้งด้านเครื่องอุปกรณ์และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้พบเบาะแสก่อฝุ่นพิษ โทรฯแจ้ง 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ถ้าตำรวจต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้ทุกภารกิจอย่างเคร่งครัด เชื่อว่าหน้างานหลักไม่ว่าจะเป็นการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม สืบสวนคดี รวมถึงงานสอบสวน คงไม่ต้องทำอย่างแน่นอน การตอบรับของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต่อคำสั่งของรัฐบาลย่อมจะอยู่ในภาวะจำยอมที่ต้องออกคำสั่งเพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติเชื่อว่าตำรวจที่ได้รับคำสั่งคงยากปฏิบัติเช่นกัน โดยเฉพาะการบุกตรวจโรงงาน เขตก่อสร้าง รวมถึงตรวจจุดเผาไร่ นา เพราะภาระหน้าที่เหล่านี้มีหน่วยงานอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว เพียงแต่ถูกละเลย ทำให้ตำรวจต้องมารับบทหนังหน้าไฟ
สำหรับการแก้ปัญหามลพิษ”ประดู่แดง”มองว่าสั่งให้ตำรวจจับกุมเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ถ้าปฏิบัติมีโอกาสที่จะไปขัดแย้งกับชาวบ้านโดยที่ไม่ได้เกิดผลดีกับตำรวจ อย่างกรณีรถควันดำ อดีตตำรวจจราจรบอกว่าไม่อยากจับกุม เพราะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ รถควันดำส่วนใหญ่เป็นรถกระบะที่คนระดับกลางถึงล่างใช้ทำมาหากิน หรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ถ้าตรวจควันดำเจอ แทนที่เจ้าของรถจะรับผิดชอบกลับเป็นคนขับที่ถูกหักเงินเดือน
สำหรับสาเหตุควันดำนั้นอดีตตำรวจจราจรคนเดิมบอกว่า ช่วงรับราชการเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับรถควันดำ พบว่าปัญหาหลักคือคุณภาพน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลของไทยได้มาตรฐานคุณภาพต่ำ ก่อให้เกิดมลพิษ ถ้าใช้กับเครื่องยนต์เกิน 3 ปี ตรวจทุกครั้งจะเจอควันดำทุกครั้ง บางครั้งรถกระบะป้ายยังตรวจเจอ แต่ปัจจุบันไม่แน่ใจว่าบริษัทน้ำมันได้พัฒนาคุณภาพน้ำมันให้มีมาตรฐานสูงหรือยัง ถ้าพัฒนาแล้วจริงควันดำจากท่อไอเสียคงไม่เกิดขึ้นแน่นอน
“ถ้ารัฐบาลอยากจะแก้ปัญหามลพิษจากท่อไอเสีย ลองให้กระทรวงพลังงานไปตรวจสอบคุณภาพน้ำมันว่าได้มาตรฐานไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่ เพราะทุกวันนี้แม้จะเป็นตำรวจเกษียณยังคาใจประเด็นนี้อยู่ เพราะจากข้อมูลที่สอบถามจากน้องๆทราบว่ารถจำนวน 100 เปอร์เซ็นต์ที่เข้าตรวจควันดำพบว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไม่ผ่านเกณฑ์ ทั้งที่บางคันเพิ่งเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น ไส้กรองเครื่องและกรองโซล่ามา”อดีตตำรวจจราจรระบาย
ดังนั้นถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 แบบหวังผลต้องมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว ทุกรัฐบาลต้องสานต่อแบบต่อเนื่อง ไมใช่มาตื่นตูมช่วงเกิดฝุ่นพิษและที่สำคัญต้องแก้ที่ต้นเหตุ อย่างกรณีที่อดีตตำรวจจราจรสะท้อนน่าจะเป็นมูลได้ระดับหนึ่ง
แต่ถ้ายังไร้ซึ่งแผนงานและแก้แบบเดิมคือบังคับใช้กฎหมายตำรวจจะต้องรับบทหนังหน้าไฟอยู่ร่ำไป !!!
