ผบก.สส.บช.น.ยันใช้เวลา 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือนในการขอส่งตัว “จ่าเอ็ม” กลับมาดำเนินคดีในไทย พร้อมเร่งประสานตำรวจสากลจับคนชี้เป้า และขยายผลผู้ร่วมขบวนการที่เหลือเพิ่มเติม
วันที่ 9 มกราคม 2568 ที่ บก.สส.บช.น.พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า ขณะนี้ “จ่าเอ็ม” อยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายของทางการกัมพูชา เนื่องจาก “จ่าเอ็ม” เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จึงต้องดำเนินคดีที่กัมพูชาก่อน แต่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้ทำหนังสือทางการทูต เพื่อขอให้ส่งตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อที่ไทยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ตำรวจไทยเป็นคนไปประสานงานกับตำรวจกัมพูชา และร่วมกันไล่ล่าติดตามตัวมาด้วยกัน โดย “จ่าเอ็ม” ใช้เส้นทางจังหวัดชลบุรี และจันทบุรีเป็นทางผ่าน และมีวิธีหลอกตบตาเจ้าหน้าที่สืบสวน ก่อนจะเดินทางออกทางชายแดนจังหวัดสระแก้ว เข้าไปยังกัมพูชา ซึ่งตำรวจจับกุมขณะที่ “จ่าเอ็ม” กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่อำเภอพระตะบอง และไม่พบอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ พบเพียงบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรข้าราชการ ส่วนรายละเอียดตำรวจไทยยังไม่ได้สอบปากคำ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าสาเหตุใด “จ่าเอ็ม” ถึงหลบหนีไปกัมพูชา และต้องรอส่งตัวกลับมาสอบปากคำก่อน
ในส่วนของอาวุธปืน ได้เรียกตำรวจที่รับจำนำปืนของ “จ่าเอ็ม” มาสอบปากคำแล้ว เบื้องต้นยอมรับว่ารับจำนำปืนไว้จริง แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบสังหารที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับโฟเชอร์แท็กซี่สีเขียวเหลือง ก็ได้เชิญมาสอบปากคำแล้วเช่นกัน ยืนยันว่าไม่รู้จักกันมาก่อน และไม่เกี่ยวข้องกับคดี คนร้ายเพียงมาว่าจ้างให้ไปส่งเท่านั้น
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ธีรเดช ยืนยันว่า จะติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการ หรือช่วยเหลือให้การสนับสนุนเพิ่มเติมด้วย โดยเฉพาะคนชี้เป้าที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเข้ามาพร้อมกับผู้เสียชีวิต และมีพิรุธเพราะบริเวณจุดเกิดเหตุมีการเดินวนดูลาดเลาหลายครั้ง รวมถึงหลังเกิดเหตุได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านทางสนามบินสุวรรณภูมิทันที และเชื่อว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการสัญชาติเดียวกันอีก โดยตำรวจขอเวลาทำงานสักระยะ และตอนนี้ได้ออกหมายจับไทยแล้ว ขั้นตอนต่อไปอยู่ระหว่างประสานตำรวจสากล ขอออกหมายแดง เพื่อติดตามตัวนำผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศมาดำเนินคดี ส่วนผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเกรงว่าคนร้ายจะไหวตัวทัน