ก้าวสู่ศักราช ปี 2568 ยังขอรัฐบาล2เรื่องเดิมปราบ”ยาเสพติด-แก๊งคอลเซ็นเตอร์      

377


     ส่งท้ายปี 2566 รับปีใหม่ 2567 ได้ขอให้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เร่งปราบปรามยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทุกหย่อมหญ้า

จากซ้าย : ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ/แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ/พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ

          ที่บังอาจขอโดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด เพราะนายเศรษฐา ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้ารับตำแหน่ง จากนั้นไม่กี่เดือนสั่งการให้เร่งปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อาละวาดอย่างหนักสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละหลายหมื่นล้านบาท


         เวลาผ่านไปเกือบปีจนนายเศรษฐา เจออุบัติเหตุทางการเมืองกระเด็นตกเก้าอี้ ทั้งสองนโยบายเสมือนย่ำอยู่กับที่ ยาเสพติดยังเกลื่อนเมือง ขี้ยาเมาเพี้ยนทำร้ายพ่อแม่ ญาติพี่น้องและชาวบ้าน รวมถึงทำลายทรัพย์สิน ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นจนชิน ส่วนแก๊งคอลเซ็นเตอร์  อาละวาดอย่างคงเส้นคงวา

        พออำนาจเปลี่ยนมาอยู่ในมือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ประกาศให้การปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระชาติเช่นกันพร้อมวางแนวทางให้ 10 จังหวัดปลอดยาเสพติดก่อนสงกรานต์ปี 2568 ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วควรดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานเชิงรุกแบบบูรณาการ แต่ดูเหมือนนโยบายยังอืดเหมือนเรือเกลือ ยาเสพติดยังทะลักเข้าไทยอย่างต่อเนื่องแถมบุกถึงกลางเมืองหลวงและปริมณฑล ผลจับกุมยึดยาบ้านับสิบล้านเม็ด พอที่จะเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดี

    กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกรัฐมนตรี คงจะทนไม่ไหวประกาศบนเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีว่า”ทักษิณกลับมาแล้วพ่อค้ายาหลบไป”จากวาทะนี้พอสันนิษฐานได้ว่าปี 2568 ผลการปราบปรามยาเสพติดน่าจะทำให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจได้เพราะเคยสร้างผลงานให้เห็นในยุครัฐบาลไทยรักไทยมาแล้ว และเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร คงขับเคลื่อนแบบเต็มสูบโดยมีพ่อคอยเป็นกำแพงให้พิง

   ขณะที่ความเคลื่อนไหวการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแก๊งพนันออนไลน์ ในยุครัฐบาลน.ส.แพทองธาร รุดหน้ามาก เพราะหลังจากที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ตำรวจไซเบอร์ ตำรวจสอบสวนกลางและตำรวจนครบาล มีผลจับกุมแบบยกแก๊งยึดของกลางจำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังอาละวาดเหมือนเดิม เนื่องจากฐานที่มั่นอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่า และกัมพูชา กระทั่งนายทักษิณ บอกว่าฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์แหล่งใหญ่มีสำนักงานอยู่ที่ตึก 25 ชั้น ในเมืองปอยเปต จะขอให้ทางรัฐบาลกัมพูชาช่วยจัดการ

    พลันที่สิ้นเสียงนายทักษิณ ตำรวจเริ่มขยับตัวโดยร่วมกับ กสทช.และทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณชายแดนด้าน อ.อรัญประเทศ สระแก้ว พร้อมแถลงว่านำมาตรการ”ระเบิดสะพานโจร”มาใช้มุ่งตัดเส้นทางเสบียงของคนร้าย ค้นหาสัญญาณโทรศัพท์แล้วตัดสัญญาณสื่อสารทางโทรศัพท์และดาต้าเน็ตและให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดในการลักลอบส่งเงิน อุปกรณ์มือถือผ่านช่องทางธรรมชาติและจุดตรวจของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจสอบครั้งนี้พบเสาสัญญาณ 3 จุด บริเวณใกล้ชายแดนน่าเชื่อว่าส่งสัญญาณไปยังตึก 25 ชั้น


   ซึ่งวิธีการแบบนี้ทำได้แค่ป้องกันได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะผู้กระทำความผิดอยู่ต่างแดนและเป็นที่ทราบกันดีว่าผู้กระทำผิดเหล่านี้ก่อเหตุอย่างต่อเนื่องได้ ย่อมจะต้องจ่ายใต้โต๊ะหรือจ่ายส่วยให้กับผู้มีอำนาจในพื้นที่นั้นๆด้วยราคาที่สูง ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยย่อมทราบดีเพราะธุรกิจเถื่อนในเมืองไทยมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่เจ้าหน้าที่รัฐคอยเอื้อเฟื้อ

   หากจะปราบให้บรรลุเป้าหมายมีอดีตผบ.ตร.คนหนึ่งเคยแนะนำนายเศรษฐาว่าถ้าจะปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาให้บรรลุผล นายเศรษฐาต้องลงมือเอง ด้วยการประสานกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาให้ร่วมกันปราบปราม

     ในยุคของน.ส.แพททองธาร ถ้าจะปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง ต้องให้นายทักษิณออกหน้าประสานขอความร่วมมือกับสมเด็จฮุนเซน สั่งการให้ตำรวจกัมพูชาร่วมมือกับตำรวจไทย ลุยจัดการเท่านั้น

  ในส่วนของรัฐบาลจะต้องเป็นเจ้าภาพหลักดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น กสทช. ตำรวจ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ธนาคารรัฐและเอกชน และบริษัทมือถือ ประชุมหารือวางมาตรการป้องกันในทุกด้าน

โดยตำรวจทำหน้าที่สืบสวนจับกุมขยายผล ส่วนค่ายมือถือจะจำหน่ายซิมโทรศัพท์ต้องตรวจสอบผู้ซื้อให้แน่ชัดพร้อมจำกัดจำนวนการซื้อไม่เกินคนละกี่ซิม แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเน้นยอดขายมากกว่า เพราะผลการจับกุมยึดซิมได้จำนวนมาก พอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่ามุ่งยอดขายโดยไม่สนใจว่าจะขายให้กับโจรกลุ่มไหนและกสทช.ต้องมีบทบาทกำกับดูแลอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยผ่านแล้วคอยรับปัจจัย

   ส่วน ธปท.ต้องออกระเบียบให้ธนาคารทั้งรัฐและเอกชนปฏิบัติ โดยให้ทุกธนาคารตรวจสอบการเปิดบัญชีว่ามีใครเปิดบัญชีเกินศักยภาพที่จะต้องใช้หรือไม่ เพราะจากการจับกุมของตำรวจพบว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีชื่อเปิดบัญชีนับสิบนับร้อยบัญชี เมื่อตรวจสอบเจอต้องแจ้งให้ตำรวจเข้าสืบสวน ถ้าพบว่าผู้เปิดบัญชีไม่สามารถชี้แจงได้ให้ธนาคารสั่งอายัดบัญชีทันที รวมถึงให้คอยตรวจสอบการโอนที่ผิดปกติ ถ้าพบแจ้งอายัดแล้วประสานให้เจ้าของบัญชีมาชี้แจงหรือประสานเจ้าของบัญชีขอทราบเหตุผลการโอน ถ้ารัฐบาลสามารถดำเนินการตามที่กล่าวมา รวมถึงน.ส.แพทองธาร ขอให้พ่อออกหน้าช่วย เชื่อว่าการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์น่าจะบรรลุผลในระดับที่ประชาชนพึงพอใจแน่นอน

    หากรัฐบาล น.ส.แพทองธาร สามารถแก้ปัญหาทั้งยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บรรลุเป้าหมายจนประชาชนใช้ความรู้สึกสัมผัสได้ เชื่อว่าอยู่ยาวครบเทอมและเลือกตั้งครั้งหน้าโอกาสแลนด์สไลด์สูง เพราะทั้งสองปัญหาเซาะกร่อนครอบครัวคนไทยมานานแล้ว !!!