สืบนครบาล รวบบัญชีม้าคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ วิดีโอคอลหลอกให้โอนเงินตรวจสอบ สูญเงินกว่า 1 ล้านบาท
ตามนโยบายของรัฐบาล และพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. /ผอ.PCT ให้ปราบปรามขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาหลัก สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนคนไทย
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. , พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ,พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก สส.บช.น. ,พ.ต.อ.อรรชวศิษฎ์ ศรีบุญยมานนท์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง และ พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.วรุตม์ คำหล้า สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมด้วย ร.ต.อ.พิชชากร กองสวัสดิ์ ,ร.ต.อ.พงศธร อารีย์ รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.ได้จับกุมตัว
น.ส.พรทิพย์ อุเทนพันธ์ อายุ 63 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 20/1 ซ. 7 ถ.ชัยมงคล ต.บ่อยาง อ.เมืองสงขลา จว.สงขลา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.1052/2567 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด” จับกุมที่หน้าบ้าน ซอยนวมินทร์ 74 แยก 3-10-13 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพ
จากการตรวจสอบในฐานระบบ พบมีหมายจับติดตัวอีก 5 หมาย ดังนี้
(1) หมายจับศาลแขวงสงขลา ที่ 41/2567 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยเจตนาที่จะไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น และในขณะที่ออกดช็คไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ และถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน”
(2) หมายจับศาลจังหวัดมหาสารคาร ที่ จ.263/2567 ลงวันที่ 12 กันยายน 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมฯ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน , ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ปลอมหรือเลียนแบบและใช้เครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต , เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนฯ , ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและได้ร่วมกันฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน”
(3) หมายจับศาลแขวงสงขลา ที่ 423/2567 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค(พฤติการณ์จงใจหลบหนี ไม่มาศษลตามนัด)”
(4) หมายจับศาลแขวงสงขลา ที่ 528/2567 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค(ปฏิบัติตามคำพิพากษา)”
(5) หมายจับศาลแขวงเชียงใหม่ ที่ 787/2567 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค”
พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2567 ขณะผู้เสียหายอยู่ที่ จังหวัดชุมพร ผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์บอกว่า ผู้เสียหายตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดียาเสพติดและคดีฟอกเงิน โดยบอกว่า เรามีชื่อคุณ เบอร์โทรศัพท์ บัตประชาชน และที่อยู่ และขอไอดีไลน์ไปโดยมีไลน์ชื่อ สภ.เมืองสุรินทร์ แอดมา และแจ้งให้ผู้เสียหายเดินทางมาสุรินทร์เลยไหม ผู้เสีหยายตอบว่าไม่สะดวก ยินดีที่จะเดินทางไปแต่ไม่สะดวกวันนี้และไลน์ดังกล่าวส่งรูป หมายจับยาเสพติดโดยผู้เสียหายถามว่าเป็นใครทางไลน์ดังกล่าวได้ส่งรูปบัตรข้าราชการตำรวจให้ดูทำให้ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง และมีการโอนสายไปให้อีกคนโดยมีการเปิดวิดีโอคอลงมีรูปบุคคลอ้างว่าเป็นตำรวจโดยมีการไล่ถามบัญชีธนาคารของผู้เสียหายว่ามีกี่บัญชีโดยไลน์ดังกล่าวได้ให้หมายจับและหมายอายัดของ สภ.เมืองสุรินทร์ให้ผู้เสียหายดูและมีรูปเล่มบัญชีธนาคารกสิกรไทยกับชื่อผู้เสียหายปรากฏในรูปที่มีการจับกุมยาเสพติดโดยไลน์ดังกล่าวอ้างว่าบัญชีผู้เสียหายเป็น 1 ใน 24 บัญชีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นของผู้เสียหาย โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินมาเพื่อตรวจสอบ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินมารวมกัน 2 ธนาคารของผู้เสียหายที่มี รวมเป็นเงิน 1,056,000 บาท เมื่อผู้เสียหายรวมเงินแล้วแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินตรวจสอบโดยในไลน์ดังกล่าวได้เดินเข้าไปในห้องที่อ้างว่าเป็นผู้จัดการโดยมีการเปิดวิดีโอคอลให้ผู้เสียหายดูและบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้จัดการในไลน์ดังกล่าวแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินจากบัญชีมาตรวจสอบ โดยผู้จัดการคนดังกล่าวอ้างว่าแอปธนาคารได้ถูกอายัดแล้วเมื่อผู้เสียหายตรวจสอบแอปธนาคารไม่สามารถเปิดได้จริงจึงหลงเชื่อโอนเงิน โดยบุคคลดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นผู้จัดการให้ผู้เสียหายโอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเพราะถ้าไม่โอนจะถูกจับและบริษัทจะเสียชื่อให้โอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์โดยผู้เสียหายได้โอนจากบัญชี ไปธนาคาร cimb ชื่อบัญชี พรทิพย์ จำนวน 1,000,000 บาท หลังจากนั้นแจ้งให้โอนเพิ่ม
ต่อมา ระหว่างทางเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ก็มีการโทรมาหลายสายแต่ผู้เสียหายไม่ได้รับ จนวันที่ 4 มกราคม 2567 เวลา21.00 น.ผู้เสียหายถึงบ้าน ผู้เสียหายทราบแน่ชัดว่าโดนหลอกจึงมาแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าตนได้เสริชหางานทำใน Facebook ตนได้คุยกับนายกิจซึ่งได้พูดคุยเรื่องหางานทำที่บ่อนปอยเปต มีรายได้ดีแต่ก่อนที่จะไปทำงานต้องเปิดบัญชีธนาคาร 5 บัญชีโดยให้ค่าเปิดบัญชีๆละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 5,000 บาท นายกิจอ้างว่าบัญชีที่ผู้ต้องหาเปิดนั้นจะรับโอนหุ้นให้กับนักธุรกิจฝั่งปอยเปต ต่อมานายกิจได้นัดให้ผู้ต้องหาไปเจอที่คิวรถตู้หมอชิตเพื่อเดินทางไปทำงานที่ปอยเปต เมื่อไปถึงคิวรถตู้นายกิจมอบเงินจำนวน 5,000 บาทค่าบัญชีธนาคารดังกล่าวให้กับผู้ต้องหาก่อน จากนั้นนายกิจนั่งรถตู้ไปกับผู้ต้องหาเดินทางไปที่อรัญประเทศ เมื่อไปถึงอรัญประเทศ นายกิจบอกกับผู้ต้องหาเพียงว่าตนจะตามไปทีหลัง ให้ผู้ต้องหานั่งรถไปกับชายชาวไทยที่มารอรับที่คิวรถตู้ก่อน จากนั้นเมื่อไปถึงถนนทางลูกรัง ตนได้เดินทางเข้าบ้าน ลักษณะเป็นบ้านลักษณะก่ออิฐ เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน ตนเดินต่อไปเรื่อยๆจนไปทะลุ กับประตูบ้านอีกฝั่ง หรือออกจากประตูบ้านหลังนั้น ก็กลายเป็นประเทศกัมพูชา และมีรถยนต์มารับตน บุคคลที่รับตนเป็นชายชาวจีนจำนวนหลายคน กลุ่มชายชาวจีนพาตนเข้าไปในตึก7ชั้น และให้ตนดำเนินการสแกนใบหน้าในมือถือที่กลุ่มชาวจีนได้จัดไว้ให้ และตนได้เข้าไปอยู่ภายในห้องมีลักษณะคล้ายๆเหมือนห้องขัง ตนได้อยู่ในตึกดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในแต่ละวันกลุ่มชายชาวจีนจะเรียกตนมาจากห้องที่ตนพักอยู่มาเพื่อสแกนหน้า วันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน กลุ่มชาวจีนได้เรียกตนว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องกลับประเทศไทยแล้ว ตนจึงได้เดินทางกลับ แต่ก่อนที่ตนจะได้กลับ ตนได้แอบถ่ายรูปบันทึกเสียงของกลุ่มชาวจีนดังกล่าวไว้ แต่กลุ่มชายชาวจีนจับได้ว่าตนได้แอบถ่ายรูปและอัดเสียง จึงถูกยึดโทรศัพท์ไม่ให้นำโทรศัพท์มือถือกลับมายังประเทศไทย หลังจากนั้นตนได้ค่ารถกลับบ้านอีก 2,000 บาท จากนั้นตนได้นั่งรถตู้กลับ เมื่อถึงประเทศไทยตนได้มาพักอาศัยอยู่กับพี่ชายย่านนวมินทร์ เพียงไม่นาน ตนจึงถูกเจ้าที่ตำรวจสืบนครบาลจับกุมในข้อหาบัญชีม้า
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ขอฝากเตือนประชาชน ให้ทุกท่านมีสติ พิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่หลงเชื่อมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว และตำรวจจริงจะไม่มีการวิดีโอคอลหาผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาโดยเด็ดขาด ไม่มีการส่งหมายจับหาผู้ต้องหา ไม่มีการให้โอนเงินตรวจสอบ เพราะตำรวจจริงสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว หากท่านไม่แน่ใจ ขอให้เดินทางไปยังสถานีตำรวจใกล้บ้าน ขอตรวจสอบหมายจับได้ ส่วนพวกที่หางานทำในอินเตอร์เน็ต ขอให้ท่านระมัดระวังถูกหลอกไปเป็นบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยนำค่าตอบแทนมาล่อใจ แต่สุดท้ายท่านก็จะถูกออกหมายจับ ไม่คุ้มแน่นอน
ทั้งนี้ หากพบปัญหาเกี่ยวกับมิจฉาชีพออนไลน์สามารถติดต่อ ศูนย์ AOC 1441 เพื่อเข้าปรึกษา แจ้งเบาะแส หรือแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง