วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการ รมว.พม. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนภารกิจกระทรวง พม. ในพื้นที่ และเยี่ยมให้กำลังใจผู้สูงอายุที่ป่วย ณ อาคารสถานชีวาภิบาล และเยี่ยมชมกิจกรรมผู้สูงอายุ “สมองใส สร้างสุข” ณ อาคาร Happy Home อีกทั้งมอบถุงกำลังใจให้ผู้สูงอายุ จำนวน 60 ราย พร้อมตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร ในบริเวณสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านบางละมุง
นายวราวุธ กล่าวว่า การมาที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญว่าในพื้นที่ภาคตะวันออก มีจำนวนผู้สูงอายุอยู่เกือบ 900,000 คน ซึ่งในอนาคตอันใกล้ไม่กี่ปีจากนี้ จะมีจำนวนผู้สูงอายุถึงหลักล้าน และพื้นที่ที่เราอยู่ในขณะนี้ มีพื้นที่อยู่นับร้อยไร่ และมีศักยภาพในการที่กระทรวง พม. จะต้องเตรียมรับปัญหาของจำนวนผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากนี้ไปประมาณ 5-6 ปี เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5-6 แสนคน และเมื่อพ้น 6 ปีจากนี้ไป จะเปลี่ยน 5-6 แสนคน/ปี เป็น ปีละ 1,000,000 คน ฉะนั้นจากนี้ไปไม่เกิน 10 ปี จำนวนผู้สูงอายุที่วันนี้เรามี 13.5 ล้านคนนั้นจะมีจำนวนเกือบใกล้ๆ 20 ล้านคน ดังนั้น เราจะต้องมีพื้นที่ที่รองรับ ยกตัวอย่างเช่น ที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค ซึ่งเราดูแลผู้สูงอายุได้ไม่กี่ร้อยคน
นายวราวุธ กล่าวว่า วันนี้การบ้านใหญ่ที่กระทรวง พม. คือ การต้องตั้งรับแล้วต้องสร้างความตระหนักให้สังคมได้เข้าใจด้วยว่า การดูแลและการป้องกันผู้สูงอายุไม่ให้เป็นโรคต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมองเสื่อม เรื่องทางกายภาพต่างๆ คือ ต้องให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำอยู่ตลอด และเรามีกองทุนผู้สูงอายุ เป็นกลไกในการดูแลผู้สูงอายุแต่ยังไม่เพียงพอ วันนี้จึงต้องมาดูในพื้นที่ที่สามารถรองรับดูแลผู้สูงอายุได้ในอนาคต ทั้งนี้ การส่งงบประมาณปี 2569 ของกระทรวง พม. จะเน้นเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ เพราะว่าฐานจำนวนผู้สูงอายุถ้าเปรียบเทียบเป็นฐานลูกค้า ขยายเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งอยากจะใช้พื้นที่นี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่จะมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีการจัดการแบบครบวงจร เพราะว่าวันนี้ พม. มีทั้งภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดูแลผู้สูงอายุ แต่ว่ากระทรวง พม. มีหน้าที่ดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ คือหน้าที่หลักของกระทรวง พม. และจะต้องเตรียมทั้งสถานที่ บุคลากร กำลังคน เทคโนโลยี เครื่องมือต่างๆ ให้พร้อมกับสังคมสูงอายุที่จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกปี
นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับเรื่องทรัพยากรนั้นเรามีพื้นที่ทั่วประเทศอยู่พอสมควร นอกจากพื้นที่ของกรมกิจการผู้สูงอายุแล้ว ยังมีพื้นที่นิคมสร้างตนเองของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนให้เป็นพื้นที่ที่สามารถรองรับผู้สูงอายุได้ และไม่ใช่แค่เรื่องของการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง แต่รวมถึงบุคลากรด้วย เรามีโครงการนักบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชนที่เริ่มดำเนินการเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังเป็นแค่หลักร้อยคนเท่านั้น จากนี้จะต้องเร่งผลิตบุคลากรเหล่านี้เพื่อมาดูแลผู้สูงอายุทั้งที่อยู่ในชุมชน ศูนย์ดูแลต่างๆ และทำให้คนรุ่นใหม่ ได้เห็น ได้เข้าใจว่าการดูแลผู้สูงอายุนั้น สามารถเป็นอาชีพในการเลี้ยงดูตนเองได้ เพราะว่านักบริบาลผู้สูงอายุภายใต้กระทรวง พม. ที่เราอบรมนั้นจะมีค่าตอบแทนเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งขณะนี้ เรามีนักบริบาลผู้สูงอายุเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ด้วยงบประมาณที่มีอยู่ และเราจะของบประมาณเพิ่มในแต่ละปี เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชน และที่สำคัญผู้สูงอายุในแต่ละชุมชนจะได้มีคนในชุมชนนั้นที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด