วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงานใหม่ หรือ “บอร์ด กกพ.” จำนวน 4 คน แทนกรรมการเดิมซึ่งพ้นตำแหน่งตามวาระ ว่าล่าสุดได้มีประกาศเพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาอีก 1 ฉบับ เป็นการเปิดเผยรายละเอียดการมีส่วนได้เสียเชิงธุรกิจกับผู้ประกอบกิจการพลังงานของคณะกรรมการสรรหา ที่อาจกล่าวได้แบบง่าย ๆ ว่า “คณะกรรมการสรรหาและครอบครัวนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทในกลุ่มพลังงานหรือไม่ อย่างไรบ้าง”

ศุภโชติกล่าวว่า รายละเอียดที่เปิดเผยออกมาตามประกาศดังกล่าว อาจส่อถึงความไม่โปร่งใสในกระบวนการสรรหาบอร์ด กกพ. ชุดใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลภาคพลังงานของประเทศไทย เนื่องจากตามข้อมูลในประกาศระบุว่า คณะกรรมการสรรหาเกือบทุกท่านมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่ง หรือเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารในบริษัททางด้านพลังงาน ตั้งแต่ตำแหน่งประธานกรรมการ คณะกรรมการ หรือแม้กระทั่งถือหุ้นของบริษัทพลังงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่ ครม. มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับกลุ่มนายทุนพลังงานเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดช่องว่างที่จะก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสในการคัดสรรบอร์ด กกพ. อย่างแน่นอน

สส.พรรคประชาชนระบุว่า ประเด็นที่ทำให้ตนเป็นห่วงและกังวลแทนพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง หากรัฐบาลยังดึงดันตามแผนเดิมต่อ มีทั้งหมด 3 ประเด็น คือ คณะกรรมการสรรหาจะสามารถปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างเป็นกลาง โดยปราศจากแรงจูงใจทางผลประโยชน์จากกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่ และประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคณะกรรมการสรรหาจะดำเนินการอย่างมีธรรมาภิบาล และไม่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนพลังงานที่ตนมีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคณะกรรมการชุดนี้ที่สรรหามาจะปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ในเมื่อมีความเชื่อมโยงทางผลประโยชน์กับกลุ่มทุนพลังงานอย่างชัดเจนเช่นนี้
หากการคัดเลือก บอร์ด กกพ. ที่จะเป็นผู้กำกับดูแลภาคพลังงานของไทยนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่ตรงไปตรงมา ย่อมทำให้เกิดผลเสียต่อพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 3,600 เมกะวัตต์ ที่พบข้อพิรุธในประกาศรับซื้ออยู่หลายประเด็นด้วยกัน ได้แก่ การไม่มีการเปิดประมูลแข่งขัน และ กกพ. ก็ไม่ประกาศหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก ทำให้ กกพ. สามารถใช้ดุลยพินิจส่วนตัวในการเลือกให้กลุ่มทุนรายใดก็ตามสามารถขายไฟฟ้าให้รัฐจำนวนมากได้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วในการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 เมกะวัตต์

ดังนั้น หากคณะกรรมการสรรหา บอร์ด กกพ. กลายเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นอดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้าเสียเอง ก็คงจะมองได้ไม่ยากว่านี่คือกระบวนการผลประโยชน์ทับซ้อนที่รัฐบาลกำลังทำให้กระบวนการสรรหาบอร์ด กกพ. กลายเป็นกลไกของกลุ่มทุนพลังงานที่ส่งคนเข้ามาแทรกแซงองค์กรของรัฐและหาช่องท่างต่างตอบแทนเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงาน
ศุภโชติกล่าวว่า จึงขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนร่วมกันจี้ถามไปยังรัฐบาลว่า การปล่อยให้การแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นอดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้า ถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่จะนำไปสู่การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่ และสุดท้ายนี้ ขอเรียกร้องให้มีการออกมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่าการคัดสรรของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ บอร์ด กกพ. ในครั้งนี้จะดำเนินไปด้วยความโปร่งใส ยึดเอาประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสูงสุด

