ชี้กระแสข่าวยุบสภาฯแค่ลือ เชื่อ”แม้ว-เน-หนู”รับมือได้                 

69

 ในจังหวะที่มหากาพย์คดีดิไอคอนยึดพื้นที่ข่าวของสำนักข่าวกระแสหลักทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงพื้นที่ในโลกโซเชียล แต่ปรากฏข่าวเล็กๆและคอลัมนิสต์หลายสำนักเขียนถึงนั่นคือกระแสข่าวรัฐบาลจนแต้มยุบสภาฯเลือกตั้งใหม่

      ยิ่งโหมกระพือมากขึ้นเมื่อนายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมีผู้มายื่นร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยและ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม กรณี 6 แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปร่วมประชุมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง ผู้ร้องมองว่าเข้าข่ายครอบงำ ขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 29 กระบวนการสืบสวนของกกต.ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 30 วัน และสามารถขยายเวลาได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะแล้วเสร็จ

    รวมถึงกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวม 6 ประเด็น เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น

   โดยเมื่อวันที่ 24 กันยายน นายธีรยุทธ ได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยเลิกกระทำ แต่อัยการมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง นายธีรยุทธ จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย

     ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อประโยชน์ของการพิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้วินิจฉัยหรือไม่ จึงมีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดได้ดำเนินการตามคำร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด ขอให้จัดส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

      ทั้งสองประเด็นจะสรุปจบแบบไหนสุดจะคาดเดา เนื่องจากที่ผ่านมาบทบาทขององค์กรอิสระที่ชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองนั้นบางครั้งผลออกมาแบบเหนือความคาดหมาย บางครั้งมีธงไว้เรียบร้อยให้ผู้ปฏิบัติหาช่องโหว่มาจับแล้วอธิบายให้สังคมรับได้เป็นพอ

     แต่ยุคนี้ในแวดวงการเมืองต่างทราบกันดีว่า 3 ผู้ยิ่งใหญ่ ประกอบด้วย นายทักษิณ นายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่ภูมิใจไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีบทบาทสูงในการคอนโทรลเกมการเมืองทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐสภา

         แม้จะมีคอการเมืองบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายใหญ่กับครูใหญ่ เหมือนเส้นขนานมาก่อนอาจจะยังไม่เชื่อมกันสนิท แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏออกมามิได้เป็นเส้นขนานแต่อย่างใด เพียงแต่ในอดีต ที่ต้องแยกกันเดินอาจจะมาจากเงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้

      ถ้าติดตามความเคลื่อนไหวของทั้ง 3 บิ๊กแนมดีๆจะพบว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา อย่างในช่วงที่นายทักษิณ ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศมีข่าวเล็ดรอดออกมาบ่อยว่านายเนวินและนายอนุทิน บินไปพบปะกับนายทักษิณหลายครั้ง หรือแม้แต่เมื่อครั้งที่นายทักษิณ เดินทางกลับไทยเพื่อมารับโทษทิพย์ ก่อนมาเพียง 1 วัน นายเนวิน นุ่งกางเกงขาสั้น สวมรองเท้ากีฬา เข้าไปตรวจความพร้อมทั้งด้านรักษาความปลอดภัย รวมถึงซักซ้อมการนำนายทักษิณ ออกจากสนามบินดอนเมือง เดินทางไปศาลฎีกา หากไม่ไว้ใจกันจริงคงทำไม่ได้ เพราะพื้นที่สนามบินดอนเมืองเป็นเขตหวงห้าม เจ้าหน้ารัฐที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะเข้าไปเตรียมการได้ แต่นายเนวินไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐหรือรัฐมนตรี สามารถเดินเข้าสั่งการได้ จัดว่ามีกำลังภายในสูงอย่างแน่นอน

  หรือล่าสุดที่นายอนุทิน ควงแขนนายเนวิน เข้าพบนายทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า นักวิชาการ นักวิจารณ์การเมือง ต่างสันนิษฐานกันว่าน่าจะเข้าเคลียร์แบ่งเทอมกันนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างนายอนุทินกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  แต่ถ้ามองหลังจากที่ทั้งสามหารือกันผลที่ออกมาคือนายอนุทินบอกว่าแค่ทานข้าวและอวยพรวันเกิดให้นายเนวิน และอีกประเด็นหลังจากนั้นเพียง 1 วัน คณะรัฐมนตรีมีมิตเห็นชอบแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดออกมา พออนุมานได้ทั้งสามหารือเกี่ยวกับประเด็นการเมืองเพื่อรับมือกับฝ่ายตรงข้ามรวมถึงฝ่ายจ้องเสียบในซีกรัฐบาล และวางฐานอำนาจในส่วนของข้าราชการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลให้บรรลุเป้ามากกว่าที่จะแบ่งเทอมนั่งนายกรัฐมนตรีกัน

  ดังนั้นกระแสข่าวยุบสภาฯเพื่อเลือกตั้งใหม่น่าจะเป็นเพียงข่าวลือมากกว่า เพราะในจังหวะนี้ผลงานของรัฐบาลในยุคนายเศรษฐา กำลังเริ่มเห็นผลมีกลุ่มทุนใหญ่ที่นายเศรษฐาไปทาบทามไว้ต่างส่งสัญญาณเข้ามาลงทุนแล้ว บวกกับนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท สร้างความคึกคักให้กับระดับรากหญ้ากว่า 10 ล้านคน รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยยอมหั่นดอกเบี้ยลง 0.25 เปอร์เซ็นต์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

    จากปัจจัยดังกล่าวถ้านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนช่วยกันขับเคลื่อนดีๆ อุดช่องโหว่ไม่ให้มีทุจริตสร้างผลงานที่ชาวบ้านสัมผัสได้บวกกับ 3 บิ๊กแนมที่มีคอนแนคชั่นสุดพิเศษคอยเป็นพี่เลี้ยงและไม้ค้ำยันอันแข็งแกร่ง เชื่อว่ารัฐบาลอยู่ครบเทอมแน่นอน !!!