บ่อยครั้งที่พระสงฆ์มีข่าวฉาวประพฤตินอกรีต จะมีเสียงบ่นจากพุทธศาสนิกชนว่าทำศาสนาพุทธเสื่อม ถ้ามองตามหลักความจริงแล้วศาสนาพุทธมิได้เสื่อม แต่พวกอาศัยผ้าเหลืองใช้ความเชื่อและศรัทธาของประชาชนหาประโยชน์เสื่อมเองต่างหาก
ยิ่งในห้วงเวลานี้มีข่าวฉาวเกี่ยวพระสงฆ์อย่างน้อยสองถึงสามข่าว อาทิ พระดังขวัญใจดิไอคอนหรือข่าวพระสงฆ์หลงกลร่วมวงแชร์ลูกโซ่เพราะความโลภ มูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท
“จอมมารน้อย”ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมดังกล่าว แต่อยากจะแชร์ประสบการณ์ตรงที่เข้ากราบนมัสการพระสงฆ์ในหลายสถานที่ รวมถึงประสบการณ์ที่ญาติ พี่ น้อง เพื่อนๆ เล่าให้ฟังหลังกราบนมัสการพระเกจิตามที่ต่างๆ แต่ละแห่งมีความต่างที่พอสัมผัสได้ว่าจะไปครั้งเดียวหรือต้องไปซ้ำ
จากประสบการณ์ตรงหลายสิบปีมีโอกาสเดินทางไปกราบนมัสการพระราชอุดมมงคลหรือหลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิชื่อดัง เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ช่วงเดินทางไปไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เข้ากราบนมัสการ เพราะทราบว่าบรรดาบิ๊กๆทั้งการเมืองและข้าราชการจะเข้ากราบนมัสการท่านบ่อย
เมื่อไปถึงวัดพบหลวงพ่อนั่งอยู่กลางศาลาการเปรียญ มีบิ๊กตำรวจระดับผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมคณะ รองอธิบดีกรมหนึ่งในกระทรวงมหาดไทยพร้อมคณะ นั่งอยู่กับประชาชนทั่วไป พอคณะพวกเราไปถึงหลวงพ่อส่งเสียงทักทายทันทีพร้อมถามว่ามาจากไหน แล้วบอกให้กราบพระประธานก่อนแล้วค่อยมาสนทนากัน จากนั้นหลวงพ่อก็สนทนากับประชาชนที่นั่งรายล้อมอยู่อย่างเสมอภาคกัน หลังจากนั้นมีโอกาสขึ้นกราบนมัสการหลวงพ่ออีกครั้งบรรยากาศยังคงเหมือนเดิม ต่อมาท่านมรณภาพได้ขึ้นไปกราบสังขารพบพุทธศาสนิกชนยังคงศรัทธาเนื่องแน่นเหมือนเดิม
ครั้งแรกที่เดินทางไปเป็นจังหวะที่พระยันตระกำลังเป็นที่ชื่นชมของพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า จึงแวะที่สำนักสงฆ์ของพระยันตระ แจ้งเจ้าหน้าที่สำนักสงฆ์ว่าจะขอเข้านมัสการพระยันตระ ได้คำตอบว่าต้องจองคิว ถ้าไม่จองคิวไม่สามารถเข้าไปได้ เป็นคำตอบที่มิได้ผิดหวังเพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าผลจะเป็นอย่างไร
ขณะที่เพื่อนเล่าว่าช่วงที่พระยันตระกำลังโด่งดัง ถูกนิมนต์ไปที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ระโนด จ.สงขลา แม่กับญาติๆเดินทางไปนมัสการพระยันตระ ระหว่างบ้านกับวัดใช้เวลาเดินทางไปกลับ 20 นาที ปรากฏว่าแม่และญาติไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเดินทางกลับ จึงถามว่าทำไมกลับเร็ว แม่บอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเดินทางกันมาโดยรถบัส 2 คัน มีพระแค่2-3 รูปนอกนั้นมีแต่สีกากี หลังจากไม่กี่สัปดาห์พระยันตระตกเป็นข่าวอื้อฉาว
หรือพระที่อายุน้อยรวมถึงอายุพรรษาน้อยแล้วอ้างตัวเป็นหลวงปู่ส่วนใหญ่แล้วพระแบบนี้มักจะแฝงเร้นด้วยผลประโยชน์ทั้งสิ้น แต่อยู่ได้ไม่นาน อย่างกรณีพระวิรพล ฉัตติโก เรียกตนเองว่าหลวงปู่เณรคำ อวดอุตริมนุสธรรมว่าเป็นพระอรหันต์ ทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อจำนวนมาก
อดีตบิ๊กตำรวจคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าช่วงหลวงปู่เณรคำกำลังโด่งดัง จะเข้าพบจะต้องจองคิวล่วงหน้า ถ้าเป็นบุคคลสำคัญหรือมีฐานะจะได้คิวต้นๆ สุดท้ายต้องแพ้ภัยถูกจับสึก เช่นเดียวกับพวกที่เรียกตัวเองว่าหลวงปู่ ส่วนใหญ่จะมีวาระแอบแฝงเพื่อหาประโยชน์แทบทั้งสิ้น อีกประสบการณ์หนึ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำแม้จะผ่านมากว่า 10 ปี วันนั้นตรงกับวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ นนทบุรี หลังทำบุญเสร็จเดินสำรวจภายในวัด พอถึงบริเวณหน้ากุฏิแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงพระภิกษุนั่งที่ม้าหินอ่อนส่งเสียงทัก หันไปดูแล้วเข้าไปกราบนมัสการพบว่าท่านคือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ท่านถามว่ามาทำอะไรกัน ก็ตอบว่ามาทำบุญวันเกิดท่านให้พรสั้นๆว่าการดำเนินชีวิตต้องยึดสายกลาง เหล่านี้คือประสบการณ์ที่เก็บมาเล่าเพียงบางส่วน ยังไม่รวมถึงการไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณปริสุทโธ วัดบ้านไร่ นครราชสีมา ไปมาหลายครั้งเพราะศรัทธากับวัตรปฏิบัติของท่าน
ขณะที่เพื่อนอีกคนเล่าว่าไปทางภาคเหนือมีเป้าหมายที่จะไปนมัสการพระสงฆ์รูปหนึ่ง เพราะชื่นชอบในคำสอน ที่มักจะสรรหาคำคมในพระไตรปิฎกโพสต์ลงโซเซียล มีผู้ติดตามจำนวนมาก บางครั้งปรากฏข่าวบรรดาเซเลบเข้านมัสการบริจาคปัจจัยจำนวนมาก ด้วยความศรัทธาจึงเดินทางไปเพื่อกราบนมัสการ ปรากฏว่าไม่ได้เข้าพบทั้งที่ใช้ความพยายามอยู่ 2 วัน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าท่านรับแขกผู้ใหญ่อยู่
ที่หยิบประสบการณ์นี้มาเล่าไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้ร้ายใคร เพียงแต่ต้องการสื่อสารถึงผู้อ่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนว่าหากจะศรัทธาพระสงฆ์รูปไหนควรไตร่ตรองถึงพฤติกรรมให้ถ่องแท้ก่อน เพราะยุคนี้สร้างภาพเพื่อจะเรียกศรัทธาทำกันง่ายดาย ยิ่งพระบางรูปมีความใกล้ชิดกับบรรดาสื่อหรือเจ้าของสื่อด้วยแล้วมีโอกาสที่จะดังเป็นพลุแตกเรียกเงินเข้าย่ามได้มหาศาล
ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนาสูญเปล่า ก่อนจะร่วมทำบุญควรสังเกตให้รอบด้านว่าความต่างระหว่างพระสอนธรรมแต่ไม่สร้างภาพ กับพระสอนธรรมพร้อมสร้างภาพเป็นอย่างไร หากไม่รู้ว่าสังเกตอย่างไรลองติดตามข่าวที่กำลังโด่งดังในขณะนี้แล้วจะเห็นแจ้ง !!!
