ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) วันที่ 1 ตุลาคม มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหาร และทีมเศรษฐกิจพรรคฯ แถลงข่าวแสดงความกังวลถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ส่งออก เพราะแม้ว่าขายสินค้าได้เงินดอลล่าร์เท่าเดิม แต่เมื่อแปลงเป็นบาทจะได้เงินน้อยลงกว่าเดิมถึง 10% โดยขณะนี้ “บาทแข็ง” ใช้เงินเพียง 33 บาท แลกเงินดอลล่าร์ได้ 1 เหรียญ ขณะที่ 3 เดือนก่อนต้องใช้เงินถึง 36 บาท จึงแลกเงินดอลล่าร์ได้ 1 เหรียญ ทำให้เกิดข้อเสีย คือ ส่งออกแล้วได้เงินบาทน้อยลง แต่ก็มีข้อดี คือ การนำเข้าสินค้าจำเป็นทั้ง นํ้ามันดิบ เพื่อกลั่นเป็นนํ้ามันเบนซินและดีเซล การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี เพื่อผลิตไฟฟ้าจะถูกลง ดังนั้นเมื่อบาทแข็งค่าครองชีพควรถูกลง เพราะต้นทุนการผลิตสินค้าและการขนส่งถูกลง
“แต่ภายใต้การบริหารงานของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรํฐมนตรี ราคานํ้ามันกลับมีราคาแพงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งยังคงสูง เงินเฟ้อจึงปรับตัวลงได้ยาก เปรียบเทียบราคานํ้ามันในวันที่ 17 ธ.ค. 2564 ในช่วงที่เงินบาทและราคานํ้ามันดิบอยู่ในระดับเดียวกันกับปัจจุบัน (24 ก.ย. 2567) พบว่า ภายใต้การจัดการของนายกฯ แพทองธาร ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช) ราคานํ้ามันกลับแพงขึ้น 4.5-5.5 บาท ทั้งนํ้ามันเบนซิน แก๊ซโซฮอลและนํ้ามันดีเซล เพราะมีการเรียกเก็บเงินกองทุนสูงขึ้น เก็บค่าการตลาดสูงขึ้น เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น” ทีมเศรษฐกิจ พปชร.กล่าว ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า นายกฯ ต้องตระหนักว่า ท่านต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานค กพช. ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดนโยบายยิ่งกว่า รมว.พลังงาน จึงต้องจัดการปัญหาราคาพลังงานอย่างจริงจังและเร่งด่วน ก่อนที่ประชาชนจะตำหนิท่านว่า บริหารประเทศแบบ “ปากว่าตาขยิบ” เพราะท่านเคยหาเสียงไว้ว่า หากเป็นรัฐบาลจะลดราคาพลังงานทันที แต่วันนี้เป็นนายกฯ แล้วกลับปล่อยปละละเลยให้ราคานํ้ามันสูงไม่สะท้อนค่าเงินบาท ส่วนค่าไฟฟ้าก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง ทั้งที่การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมีราคาตํ่าลง และข่าวร้ายก็คือ ค่าไฟฟ้าอาจจะปรับขึ้นในอนาคตอันใกล้ หากท่านเป็นนายกฯ ที่ดีจะต้องไม่นิ่งเฉย เพราะการไม่แก้ไขปัญหาจะเหมือนการทำร้ายประเทศชาติ ประชาชน และผู้ประกอบการ
