วันถอดหัวโขน 30 กันยาฯ ข้าราชการ มีทั้งพวกจบสวยและจบไม่สวย แต่ชาวบ้านจ่ายภาษีเลี้ยงจนตาย

1966


             ขณะเขียนต้นฉบับตรงกับวันที่ 30 กันยายน เป็นวันที่ข้าราชการอายุครบ 60 ปีทุกระดับชั้นถอดหัวโขนเป็นชาวบ้านธรรมดา ในโลกโซเซียลมีการแชร์คลิปวันอำลากันอย่างแพร่หลายมีทั้งประเภทเลี้ยงฉลองท้ายกับแบบหรูหราสนุกสนานแบบเต็มสูบ บางคลิปเลี้ยงอำลากันตามสภาพของตำแหน่ง โดยเฉพาะครูที่เปรียบเสมือนเรือจ้างแจวเรือส่งลูกศิษย์ถึงฝั่งฝันมาจำนวนมาก จะเห็นหยดน้ำตาของทั้งครูและศิษย์ในโรงเรียน


       แต่บางคลิปถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสมที่จัดเลี้ยงอย่างสนุกสนานในพื้นที่ประสบภัย ทั้งที่คนในพื้นที่ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัสทั้งที่ตำแหน่งบริหารอยู่ในกรุงเทพฯ


        ขณะพื้นที่ประสบภัยอย่างเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และลำปาง ไม่ปรากฏคลิปการเลี้ยงอำลาให้เห็น อาจจะเป็นเพราะบรรดาข้าราชการเหล่านั้นต้องทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนผู้ประสบภัยจนถึงวันสุดท้ายของการถอดหัวโขน ดังที่บรรดาข้าราชการมักจะพูดด้วยความภาคภูมิใจเสมอว่า” เกียรติศักดิ์ ศักดิ์ศรีของข้าราชการคือเกียรติแห่งการรับใช้ชาติ บ้านเมือง และประชาชน”


      หากจะตีความคงเปรียบได้กับอุดมการณ์ของข้าราชการที่เป็นข้าของแผ่นดิน แม้ใกล้เกษียณอายุหากประชาชนประสบภัยหรือเผชิญกับวิกฤตต่างๆที่ต้องการข้าราชการที่เป็นผู้นำเข้ามาบริหารจัดให้ภัยบรรเทาลง จะต้องทำงานถึงวันสุดท้ายของวันถอดหัวโขนแน่นอน


      จากประเด็นดังกล่าวทำให้นึกถึงประเด็นดราม่าในโลกโซเซียลทีแชร์กันสนั่นถึงความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยต่างๆ ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพเตรียมการรับมือสถานการณ์น้ำท่วม น้ำป่า รวมถึงการเข้าช่วยเหลือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายที่จะเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายนว่าหายตัวจากพื้นที่ ขณะที่ชาวเชียงรายต้องทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส

   ในโลกโซเซียลยังยกเหตุการณ์ช่วงปลายเดือนสิงหาคม จ.เชียงราย เกิดน้ำท่วมระลอกแรก นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปดูสถานการณ์น้ำท่วมร่วมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ปรากฏว่าผู้ว่าฯเชียงรายไม่อยู่ในพื้นที่ จึงมีการทำหนังสือแจ้งว่าไม่มีเที่ยวบินกลับเชียงราย

  เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดดราม่าทัวร์งลงนายอนุทิน อย่างหนักว่าลงพื้นที่ต้องให้ผู้ว่าฯไปต้อนรับด้วยหรือ จนนายอนุทิน ชี้แจงว่ามีความจำเป็นต้องถามหาผู้ว่าฯเพราะจะได้ทราบสถานการณ์จริงว่าทางราชการได้ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยไปแล้วอย่างไร รัฐบาลจะวางแผนบริหารจัดการได้ถูกต้อง

  ถัดมาวันที่ 27-28 กันยายน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมนายอนุทินและรัฐมนตรีหลายคนลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านที่เชียงรายและเชียงใหม่ ปรากฏว่าผู้ว่าฯเชียงรายมารับจุดเดียว ก่อนที่จะไปปรากฏตัวพิธีเกษียณอายุราชการที่กรุงเทพฯ

   ซึ่งตรงกับที่นายอนุทิน บอกว่าผู้ว่าฯเชียงรายมาต้อนรับเพียงแป๊ปเดียว เพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีถามผมว่าผู้ว่าฯเชียงรายกลับไปกรุงเทพฯแล้วหรือ ได้ขออนุญาตหรือไม่ ผมได้ขอโทษนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งเขาไม่ได้มาบอกหรือขออนุญาตอะไร เป็นสิ่งไม่ควรทำ

  “ตรงนี้เป็นปัญหาเดิมๆพฤติกรรมเดิมๆที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรที่ต้องออกนอกพื้นที่ เพราะชาวเชียงรายเดือดร้อนแสนสาหัส ทั้งน้ำท่วมดินถล่มถือว่าสาหัสมากๆเท่ากับว่าผู้ว่าฯเชียงรายทิ้งงานให้นายกรัฐมนตรีทำแทน”นายอนุทินระบุและว่าการอ้างเกษียณอายุราชการคงไม่ได้ เพราะคนมหาดไทยลมหายใจคือประชาชน จะต้องกรรมการสอบสวนถึงความจำเป็นเร่งด่วนเพราะถือเป็นพฤติกรรมซ้ำซากที่ไม่ปฏิบัติงาน ถือเป็นการกระทำที่อัปยศอดสูของกระทรวงมหาดไทยในฐานะที่ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ที่วิจารณ์ว่าเวลารัฐมนตรีลงพื้นที่ต้องมีข้าราชการมารอต้อนรับนั้น ผมอยากบอกว่าเวลานายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีลงมาให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน ผู้ว่าฯควรจะมาเพราะเป็นการทำงานร่วมกัน

 “ที่เชียงรายมีรองผู้ว่าฯ 4 คน มีรองผู้ว่าฯมาเพียงคนเดียว รองผู้ว่าฯอีก 1 คนจะเกษียณอายุ ขณะที่รองผู้ว่าฯอีก 2 คนไปรายงานตัวเรียนหลักสูตร วปอ. ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะไปด้วยซ้ำประชาชนเดือดร้อนขนาดนี้แล้ว แม้จะต้องสละสิทธิ์เรียน วปอ.ต้องสละสิทธิ์ ขณะตัวผู้ว่าฯไปร่วมพิธีเกษียณอายุในกรุงเทพฯแล้วปล่อยให้ประชาชนอยู่ด้วยกันด้วยความอยากลำบาก”นายอนุทินระบุ

อีกเคสยังมีดราม่าที่ เชียงใหม่  สมาคมแม่บ้านฯจัดปาร์ตี้ กินดื่ม เต้นรำ โดยมี ผู้นำหน่วยที่เกษียณราชการกระโดดขึ้นร้องเพลงขับกล่อมกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ลูกน้องทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกันแบบเหน็ดเหนื่อย อดหลับ อดนอน คลิปนี้ตำรวจเองเอามาแชร์กันว่อนในโลกโซเชียล

   ที่ยกประเด็นนี้มานำเสนอเพื่อสื่อว่าอุดมคติที่ว่า” เกียรติศักดิ์ ศักดิ์ศรีของข้าราชการคือเกียรติแห่งการรับใช้ชาติ บ้านเมือง และประชาชน”ไม่มีอยู่จริงในหมู่ข้าราชการบางกลุ่มบางพวก เพราะยังแยกแยะไม่ออกเลยว่าอะไรคือภาระหน้าที่หลักและอะไรคือภาระหน้าที่รอง(ผลประโยชน์ส่วนตน)


    จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเส้นทางการเติบโตของข้าราชการในกระทรวงมาดไทย ที่สามารถผงาดเป็นผู้นำหน่วยได้นั้น มาจากการวิ่งเต้น ประสบสอพลอ หรือรุ่นพี่รุ่นน้องในสถาบันเดียวที่กุมอำนาจอยู่ในกระทรวงฯคอยอุ้มชูกันมา แบบไม่ได้สัมผัสเนื้องานจริง เพราะปรากฏการณ์ที่เชียงรายทำให้อดสงสัยไม่ได้จริงๆ

   ดังนั้นพวกข้าราชการที่มองว่าผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับต้องมาก่อนการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ช่วยพึงตระหนักด้วยว่าประชาชนที่เดือดร้อนเหล่านี้แหละคือผู้จ่ายค่าเลี้ยงดูตลอดชีพให้กับข้าราชการเกษียณอายุที่จบสวยและจบไม่สวย !!!