ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า

ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนของปี 2567 ในอัตรา 0.065 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล) ในวันที่ 7 ตุลาคม 2567 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในวันที่ 24 ตุลาคม 2567 นี้

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า นับตั้งแต่รวมกิจการ ธนาคารมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบมาโดยตลอด จุดประสงค์เพื่อเสริมสถานะทางการเงินให้มีความแข็งแกร่งและมีความพร้อมในทุกด้าน จึงทำให้ธนาคารสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจและสามารถสานต่อพันธกิจที่มีต่อลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางได้อย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ควบคู่กันไปนั้น ธนาคารยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของธนาคารเช่นกัน ทั้งนี้ จากการดำเนินกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีคุณภาพและการนำเอาศักยภาพด้านดิจิทัลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ส่งผลให้ธนาคารมีผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย ในประการสำคัญ คือมีระดับเงินกองทุนที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด จึงทำให้มีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่รวมกิจการ

สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2567 ธนาคารได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.065 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2566 ที่อัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น โดยการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวเทียบเท่ากับอัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 60% โดยประมาณ ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงเป็นลำดับต้น ๆ ของหุ้นกลุ่มธนาคาร

ทั้งนี้ ธนาคารจะยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการเงินทุน (Capital management) อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE)ที่เพิ่มขึ้น การจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และมูลค่าหุ้นที่มีแนวโน้มเชิงบวกสอดคล้องกับทิศทางของผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็จะยังคงรักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูงต่อไป โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) และอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) ของธนาคารอยู่ที่ 17% และ 20% ซึ่งสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 9.5% และ 12.0% ตามลำดับ”