นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค กล่าวเนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปี การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยระบุว่า “12 ปี 19 กันยายน 2549 (ตอนที่ 1)
หัวข้อที่ผมจะสนทนากับท่านทั้งหลายในวันนี้ คือ 12 ปี 19 กันยายน 2549 ครบรอบ รอบหนึ่ง 12 ปี ดูเสมือนหนึ่งว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาถึง 12 ปี ถ้าถอยย้อนไปยังแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ซึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้อ่านในเวลา 23.50 น. ของวันที่ 19 กันยายน 2549 มีถ้อยคำเบื้องต้นอย่างนี้ว่า
“
ด้วยเป็นที่ปรากฏความแน่ชัดว่าการบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการณ์ปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีหลากหลายทุกรูปแบบ มีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ……” แล้วก็อธิบายความไปนั้น ตามความที่ปรากฏ
และต่อมาหัวหน้าคณะรัฐประหารชุดนั้นได้อธิบายต่อตัวแทน 7 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนถึง 5 เหตุผลของการยึดอำนาจ
หัวข้อแรก ไม่ต้องการเห็นชาติบ้านเมืองแบ่งแยกเป็นภาค ประเทศไทยเคยเสียดินแดนมาแล้ว 14 ครั้ง ทุกคนต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีแทนการแตกแยก
สอง ที่ผ่านมามีการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นภัยต่อความมั่นคง ข้าราชการประจำต้องสร้างทัศนคติ อุดมการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
สาม ที่ผ่านมามีการแทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่เข้มแข็ง
สี่ ไม่มีความเป็นธรรมในสังคม
ห้า รัฐธรรมนูญมีหลายเรื่องควรแก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์มากขึ้น
จากแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่งจนกระทั่งเหตุผลที่มีการอธิบายในเวลาต่อมาของหัวหน้าคณะรัฐประหารในขณะนั้น เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเหตุผลหลักที่ได้อธิบายเหมือนกันทุกครั้งนั่นคือความแตกแยก ความวุ่นวายที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรง ถ้านึกถอยย้อนไปเวลานั้นก็มีการอธิบายกันว่า ถ้าไม่ยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 นั้น คนไทยจะต้องฆ่ากัน เพราะฉะนั้นนะครับ เรื่องความไม่สงบนั้น จะถูกหยิบยกขึ้นมาทุกครั้งในสถานการณ์ของการยึดอำนาจ
ผมเองก็เห็นว่าความหายนะของประเทศไทยเราได้เริ่มต้นในวันนี้เมื่อ 12 ปี ที่แล้ว แล้วเราเองก็ไม่เคยข้ามพ้นกับดักเหล่านี้ได้มาแม้แต่เพียงครั้งเดียว แม้ว่าในห้วงระยะเวลา 12 ปี เราอาจจะมีรัฐบาลมาจากคณะรัฐประหาร 2 ครั้ง มีนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการเลือกตั้งอีก 4 คนก็ตาม แต่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลุ่มๆดอนๆกันมาโดยตลอด ไม่ได้มีอะไรที่จะปรากฏความมั่นคงทางการเมือง
ผมเองได้เห็นถึงสถานการณ์อันนี้ แล้วก็เป็นบทเรียนที่เราจะต้องเดินกันต่อไปว่า เหตุผลต่างๆที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมานั้น ท้ายที่สุดก็ยังอธิบายความกันไม่ได้เลย ว่าความแตกแยกที่จะทำให้คนไทยถึงขนาดจะต้องฆ่ากันนั้นเกิดมาจริงหรือไม่ถ้าไม่ยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน ปี 49″
ทั้งนี้ นายจตุพร โพสต์ข้อความกล่าวต่อจากเนื้อหาเดิมอีกครั้ง โดยระบุว่า “12 ปี 19 กันยายน 2549 ตอนที่ 2
12 ปี 19 กันยายน 2549 ในตอนที่ 2 ในวันนี้นั้น ผมต้องการให้ประเทศไทย เราได้ซึมซับบทเรียน เอาบทเรียน 19 กันยายน ปี 49 มาทาบกับบทเรียน 22 พฤษภาคม 2557 แล้วพาประเทศไทยแหวกวงล้อมปัญหาต่างๆที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมา ความจริงตลอดระยะเวลา 12 ปีนี้ เราได้พูดและแสดงความคิดเห็นเรื่องราวเหล่านี้มากมาย แต่วันนี้ผมต้องการพาประเทศไทยเราแหวกวงล้อม ซึ่งผมเองนั้นก็เห็นว่าวิกฤตการณ์หรือความขัดแย้งใดๆก็ตาม ณ ขณะนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ที่ผมอธิบายความให้ฟังว่าคู่ขัดแย้งในสังคมไทย ในประเทศไทยนั้นได้เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดนั้น เมื่อความไม่สงบหรือความขัดแย้งต้องแลกกับการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายเมื่อมีความต้องการที่จะให้การเลือกตั้งมันเกิดขึ้น การยุติสิ่งต่างๆที่จะถูกหยิบยกกล่าวอ้างไม่ให้เกิดการเลือกตั้งนั้น แต่ละฝ่ายก็ควรจะต้องมีความอดทน และก็มีการเสียสละให้กับชาติบ้านเมือง
เพราะประวัติศาสตร์เราก็เห็นได้ชัดว่าทุกครั้งเรื่องราวความขัดแย้งก็จะถูกหยิบยกกันขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่าความเสียหายมันได้เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง ผมเชื่อว่าวันนี้คนไทย ประเทศไทยเราได้รับความบอบช้ำกันมามากในห้วงระยะเวลา 12 ปีนี้ ประเทศไทยซึ่งควรจะยืนหยัดอยู่ในแถวหน้า ไม่ว่าในกลุ่มอาเซียน หรือในทวีปเอเชียก็ตาม แต่ความขัดแย้งที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมานั้น มันได้ไปทำลายเสถียรภาพทางการเมือง การปกครองมาตลอดระยะเวลา 1 รอบ
เพราะฉะนั้นนะครับ การที่จะแหวกวงล้อมสิ่งเหล่านี้นั้นได้ อย่างที่ผมได้อธิบายความมาโดยตลอดว่า จะต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่าย และทุกฝ่ายจะต้องรู้ว่าไม่ได้มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องได้อะไรกันไปทั้งหมด ที่ผมเสนอหนทางว่าทุกคนต้องวางเรื่องของตัวเองลงมา แล้วเอาเรื่องของชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องหลัก เดินไปข้างหน้าให้กับชาติบ้านเมืองรอด เรื่องของตัวเองวางเอาไว้ข้างหลัง ถ้าเราได้คิดในมิติเหล่านี้ผมเชื่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยกำลังจะได้เริ่มนับหนึ่งกันต่อไปนั้นเราจะได้บังเกิด แต่ถ้ายังวางเรื่องตัวเองไม่ได้ ไปข้างหน้าก็พังอยู่ดี
เพราะฉะนั้นนะครับ บทเรียน 12 ปี 19 กันยายน 2549 ความจริงนะครับแถลงการณ์ก็ยาวเหยียด เรื่องราวต่างๆก็มากมาย แต่เราเองก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการวางบันได 4 ขั้น นำไปสู่บรรลุอะไรนั้น แต่ท้ายที่สุดประเทศไทยได้อะไร ก็จะยิ่งสร้างความแตกแยกเกิดขึ้น
ครั้งนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน ที่ผมยังจะต้องเรียกร้องว่าถ้าการจัดการการเลือกตั้งไม่สามารถบริหารด้วยความเสมอภาค บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม ยุติธรรมแล้วนั้น ปัญหาก็จะยิ่งเกิดแล้วก็จะยิ่งหนักขึ้น แต่ถ้ากรรมการเป็นคนกลาง กลางจริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นกรรมการ ใส่ชุดกรรมการ ทำหน้าที่ผู้เล่นอีกหนึ่งตำแหน่งนั้น ผมก็เห็นว่าเราจะยิ่งสร้างความกันมามากมาย
12 ปี 19 กันยายน 2549 เป็นสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนาให้เกิด เรามักจะพูดเวลามีการรัฐประหารแต่ละครั้งว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทย แต่สุดท้ายก็มี 22 พฤษภา 2557 แล้วก็ไม่มีใครบอกได้ว่าครั้งสุดท้ายของประเทศไทยเมื่อไรจะเป็นจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้ ที่ผมชวนกันมาตั้งแต่ตั้งต้นว่าเราต้องเริ่มด้วยตัวเราเองเสียก่อน ที่จะต้องเสียสละความสุขส่วนตัว เสียสละความต้องการส่วนตัว แล้วก็ยกทั้งหมดให้กับชาติบ้านเมือง
นี่เป็นหนทางที่ผมต้องการเชิญชวนสังคมนี้ร่วมกันคิดอ่าน ร่วมกันพูดคุย และกำหนดอนาคตร่วมกัน นั่นจะเป็นทางออกเดียวของประเทศไทย ขอบพระคุณมากครับ”
12 ปี 19 กันยายน 2549 (ตอนที่ 1)หัวข้อที่ผมจะสนทนากับท่านทั้งหลายในวันนี้ คือ 12 ปี 19 กันยายน 2549 ครบรอบ รอบหนึ่ง 12 ปี ดูเสมือนหนึ่งว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาถึง 12 ปี ถ้าถอยย้อนไปยังแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ซึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้อ่านในเวลา 23.50 น. ของวันที่ 19 กันยายน 2549 มีถ้อยคำเบื้องต้นอย่างนี้ว่า “ด้วยเป็นที่ปรากฏความแน่ชัดว่าการบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการณ์ปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีหลากหลายทุกรูปแบบ มีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ……” แล้วก็อธิบายความไปนั้น ตามความที่ปรากฏ และต่อมาหัวหน้าคณะรัฐประหารชุดนั้นได้อธิบายต่อตัวแทน 7 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนถึง 5 เหตุผลของการยึดอำนาจ หัวข้อแรก ไม่ต้องการเห็นชาติบ้านเมืองแบ่งแยกเป็นภาค ประเทศไทยเคยเสียดินแดนมาแล้ว 14 ครั้ง ทุกคนต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีแทนการแตกแยก สอง ที่ผ่านมามีการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นภัยต่อความมั่นคง ข้าราชการประจำต้องสร้างทัศนคติ อุดมการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต สาม ที่ผ่านมามีการแทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่เข้มแข็ง สี่ ไม่มีความเป็นธรรมในสังคม ห้า รัฐธรรมนูญมีหลายเรื่องควรแก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์มากขึ้น จากแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่งจนกระทั่งเหตุผลที่มีการอธิบายในเวลาต่อมาของหัวหน้าคณะรัฐประหารในขณะนั้น เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเหตุผลหลักที่ได้อธิบายเหมือนกันทุกครั้งนั่นคือความแตกแยก ความวุ่นวายที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรง ถ้านึกถอยย้อนไปเวลานั้นก็มีการอธิบายกันว่า ถ้าไม่ยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 นั้น คนไทยจะต้องฆ่ากัน เพราะฉะนั้นนะครับ เรื่องความไม่สงบนั้น จะถูกหยิบยกขึ้นมาทุกครั้งในสถานการณ์ของการยึดอำนาจ ผมเองก็เห็นว่าความหายนะของประเทศไทยเราได้เริ่มต้นในวันนี้เมื่อ 12 ปี ที่แล้ว แล้วเราเองก็ไม่เคยข้ามพ้นกับดักเหล่านี้ได้มาแม้แต่เพียงครั้งเดียว แม้ว่าในห้วงระยะเวลา 12 ปี เราอาจจะมีรัฐบาลมาจากคณะรัฐประหาร 2 ครั้ง มีนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการเลือกตั้งอีก 4 คนก็ตาม แต่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลุ่มๆดอนๆกันมาโดยตลอด ไม่ได้มีอะไรที่จะปรากฏความมั่นคงทางการเมือง ผมเองได้เห็นถึงสถานการณ์อันนี้ แล้วก็เป็นบทเรียนที่เราจะต้องเดินกันต่อไปว่า เหตุผลต่างๆที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมานั้น ท้ายที่สุดก็ยังอธิบายความกันไม่ได้เลย ว่าความแตกแยกที่จะทำให้คนไทยถึงขนาดจะต้องฆ่ากันนั้นเกิดมาจริงหรือไม่ถ้าไม่ยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน ปี 49 การแทรกแซง การทุจริต หรือความไม่เป็นธรรม ปัจจุบันนี้นะครับนับมาถึง 12 ปีนั้น เรายังมีปัญหาเดิมอยู่อีกหรือไม่ แต่ว่าเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าถ้าเราลองถอยย้อนไปอ่านเหตุผลของการยึดอำนาจแต่ละครั้ง ไม่มีความแตกต่างกัน วันนี้เรากำลังเดินเข้าสู่สถานการณ์การเลือกตั้ง ซึ่งวันนี้ดูหน้าข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านก็บอกชัดเจนว่าพรรคที่ชนะจะได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ก็นั่นอีกนั่นแหละครับ ว่าภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 นั้น ให้วุฒิสภา 250 เป็นผู้เลือกร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน ซึ่งเป็นระบบบัตรใบเดียว ซึ่งจะต้องใช้เสียง 376 เพราะฉะนั้นนะครับ 12 ปีที่ผ่านมานั้น เรามีเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมามากมาย วันนี้เราก็ต้องตั้งคำถามทบทวนตัวเองว่าเราจะให้ประเทศไทยอยู่กับความล้มเหลว อยู่กับกับดักสิ่งเหล่านี้ต่อไปกันอีกหรือไม่ เพราะเหตุผลที่ผมหยิบยกขึ้นมาอ่านให้ฟังนั้น ก็ยังเป็นเหตุผลอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกหยิบยกมาใช้เป็นเหตุผลของการยึดอำนาจ หรือจะไม่มีการเลือกตั้งก็ตาม ก็จะถูกหยิบยกเหตุผลเหล่านี้เพราะฉะนั้นในฐานะประชาชน ในฐานะคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียใดๆทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ก็ต้องบอกกล่าวกับทุกฝ่ายว่า เมื่อเห็นเหตุผลต่างๆในเวลาที่อำนาจนอกระบบจะเข้ามานั้น เราทุกฝ่ายจะต้องไม่สร้างตัวเองให้เป็นเงื่อนไข มิฉะนั้นเราก็เดินเข้าสู่กับดักเช่นเดิมอีกพบกับ 12 ปี 19 กันยายน 2549 ต่อในตอนที่ 2 ในวันพรุ่งนี้ สวัสดีครับ จตุพร พรหมพันธุ์19 กันยายน 2561
โพสต์โดย Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อ วันอังคารที่ 18 กันยายน 2018
12 ปี 19 กันยายน 2549 ตอนที่ 212 ปี 19 กันยายน 2549 ในตอนที่ 2 ในวันนี้นั้น ผมต้องการให้ประเทศไทย เราได้ซึมซับบทเรียน เอาบทเรียน 19 กันยายน ปี 49 มาทาบกับบทเรียน 22 พฤษภาคม 2557 แล้วพาประเทศไทยแหวกวงล้อมปัญหาต่างๆที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมา ความจริงตลอดระยะเวลา 12 ปีนี้ เราได้พูดและแสดงความคิดเห็นเรื่องราวเหล่านี้มากมาย แต่วันนี้ผมต้องการพาประเทศไทยเราแหวกวงล้อม ซึ่งผมเองนั้นก็เห็นว่าวิกฤตการณ์หรือความขัดแย้งใดๆก็ตาม ณ ขณะนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ที่ผมอธิบายความให้ฟังว่าคู่ขัดแย้งในสังคมไทย ในประเทศไทยนั้นได้เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดนั้น เมื่อความไม่สงบหรือความขัดแย้งต้องแลกกับการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายเมื่อมีความต้องการที่จะให้การเลือกตั้งมันเกิดขึ้น การยุติสิ่งต่างๆที่จะถูกหยิบยกกล่าวอ้างไม่ให้เกิดการเลือกตั้งนั้น แต่ละฝ่ายก็ควรจะต้องมีความอดทน และก็มีการเสียสละให้กับชาติบ้านเมือง เพราะประวัติศาสตร์เราก็เห็นได้ชัดว่าทุกครั้งเรื่องราวความขัดแย้งก็จะถูกหยิบยกกันขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่าความเสียหายมันได้เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง ผมเชื่อว่าวันนี้คนไทย ประเทศไทยเราได้รับความบอบช้ำกันมามากในห้วงระยะเวลา 12 ปีนี้ ประเทศไทยซึ่งควรจะยืนหยัดอยู่ในแถวหน้า ไม่ว่าในกลุ่มอาเซียน หรือในทวีปเอเชียก็ตาม แต่ความขัดแย้งที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมานั้น มันได้ไปทำลายเสถียรภาพทางการเมือง การปกครองมาตลอดระยะเวลา 1 รอบ เพราะฉะนั้นนะครับ การที่จะแหวกวงล้อมสิ่งเหล่านี้นั้นได้ อย่างที่ผมได้อธิบายความมาโดยตลอดว่า จะต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่าย และทุกฝ่ายจะต้องรู้ว่าไม่ได้มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องได้อะไรกันไปทั้งหมด ที่ผมเสนอหนทางว่าทุกคนต้องวางเรื่องของตัวเองลงมา แล้วเอาเรื่องของชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องหลัก เดินไปข้างหน้าให้กับชาติบ้านเมืองรอด เรื่องของตัวเองวางเอาไว้ข้างหลัง ถ้าเราได้คิดในมิติเหล่านี้ผมเชื่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยกำลังจะได้เริ่มนับหนึ่งกันต่อไปนั้นเราจะได้บังเกิด แต่ถ้ายังวางเรื่องตัวเองไม่ได้ ไปข้างหน้าก็พังอยู่ดี เพราะฉะนั้นนะครับ บทเรียน 12 ปี 19 กันยายน 2549 ความจริงนะครับแถลงการณ์ก็ยาวเหยียด เรื่องราวต่างๆก็มากมาย แต่เราเองก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการวางบันได 4 ขั้น นำไปสู่บรรลุอะไรนั้น แต่ท้ายที่สุดประเทศไทยได้อะไร ก็จะยิ่งสร้างความแตกแยกเกิดขึ้น ครั้งนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน ที่ผมยังจะต้องเรียกร้องว่าถ้าการจัดการการเลือกตั้งไม่สามารถบริหารด้วยความเสมอภาค บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม ยุติธรรมแล้วนั้น ปัญหาก็จะยิ่งเกิดแล้วก็จะยิ่งหนักขึ้น แต่ถ้ากรรมการเป็นคนกลาง กลางจริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นกรรมการ ใส่ชุดกรรมการ ทำหน้าที่ผู้เล่นอีกหนึ่งตำแหน่งนั้น ผมก็เห็นว่าเราจะยิ่งสร้างความกันมามากมาย 12 ปี 19 กันยายน 2549 เป็นสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนาให้เกิด เรามักจะพูดเวลามีการรัฐประหารแต่ละครั้งว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทย แต่สุดท้ายก็มี 22 พฤษภา 2557 แล้วก็ไม่มีใครบอกได้ว่าครั้งสุดท้ายของประเทศไทยเมื่อไรจะเป็นจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้ ที่ผมชวนกันมาตั้งแต่ตั้งต้นว่าเราต้องเริ่มด้วยตัวเราเองเสียก่อน ที่จะต้องเสียสละความสุขส่วนตัว เสียสละความต้องการส่วนตัว แล้วก็ยกทั้งหมดให้กับชาติบ้านเมือง นี่เป็นหนทางที่ผมต้องการเชิญชวนสังคมนี้ร่วมกันคิดอ่าน ร่วมกันพูดคุย และกำหนดอนาคตร่วมกัน นั่นจะเป็นทางออกเดียวของประเทศไทย ขอบพระคุณมากครับ จตุพร พรหมพันธุ์20 กันยายน 2561
โพสต์โดย Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อ วันพุธที่ 19 กันยายน 2018