พายุเศรษฐกิจ-การเมืองกระหน่ำ”รัฐบาล-เพื่อไทย”จับตา”แม้ว”ปล่อยแสงอำหิตด้อยค่า ม้าศึกข้างกาย หวังคุมเกมฝ่าวิกฤต เพื่อตนเองหรือประเทศชาติ.?

617



          หากจับสถานการณ์ทางการเมืองช่วงนี้บรรดาสื่อมวลชนและคอการเมืองต่างโฟกัสไปที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งฉลองวันเกิดครบ 75 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมด้วยบรรยากาศแสนจะชื่นมื่น และจะพ้นโทษในวันที่ 22 สิงหาคม ว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญทางการเมืองแบบแค่ให้คำปรึกษาหรือบงการหลังฉาก


       แม้นายทักษิณ ยืนยันว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆ แต่จะคอยให้คำปรึกษาเท่านั้น  ซึ่งบรรดาคอการเมืองมองว่าเป็นวลีที่เบาหวิว เพราะที่ผ่านมายี่ห้อทักษิณ หากไม่เป็นไปตามที่ให้คำปรึกษา พร้อมที่จะลงมาล้วงลูกทันที ขนาดนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ช่วงฟอร์มรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย ยังต้องเอียงหูฟังสัญญาณจะจัดใครลงตำแหน่งไหน


       กรณีที่จัดให้ นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความประจำตระกูลชินวัตร นั่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งเศรษฐา 1 และเศรษฐา 2 น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดี จนกลายเป็นชะงักปักหลังนายเศรษฐา ทวีสิน ที่รอศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตาในวันที่ 14 สิงหาคมนี้


         ขณะที่เดียวกันการขับเคลื่อนในพรรคเพื่อไทย ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ นั่งคุมบังเหียน สมาชิกพรรคต่างทราบกันดีว่านายทักษิณ มีบทบาทสำคัญในการจัดวางคน รวมถึงการจัดสรรตำแหน่ง มุ่งเลือกบุคคลที่คอนโทรลได้พร้อมที่จะทำตามคำสั่ง ถ้าส่อขัดขืนโอกาสที่จบแบบเสร็จนาโคถึกเสร็จฆ่าขุนพล เป็นไปได้สูง


        อย่างกรณีของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข น่าจะเข้าข่ายลักษณะดังกล่าว เพราะถ้ามองย้อนถึงบทบาทของ นพ.ชลน่าน ทั้งในฐานะผู้นำฝ่ายค้านและแกนนำเดินเกมจัดตั้งรัฐบาล จะโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ แต่พอมานั่งในตำแหน่งเสนาบดีไม่ถึง 6 เดือน ถูกปรับออก จนเกิดคลิปที่ นพ.ชลน่าน ต้องหันหน้าเข้าวัดปฏิบัติธรรม


     หรือกรณีของตระกูลอยู่บำรุง ต่างทราบว่ากันดีว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มีสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับนายทักษิณ มาอย่างยาวนาน เพียงแค่ นายวัน อยู่บำรุง ไปปรากฏตัวลุ้นผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.)ปทุมธานี ที่บ้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง  อดีตคนคุ้นเคยของนายทักษิณ เจ้าของวลีเด็ดมีวันนี้เพราะพี่ให้ ถูกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรียกไปตำหนิ จนต้องไขก๊อกพ้นเพื่อไทย

หากย้อนกลับไป มองอดีตที่ผ่าน คนรอบกาย ที่นายทักษิณ ได้ใช้คนเก่ง ที่ใจถึงใจพลีทั้งกายทั้งใจให้ ต่างด้อยค่าบรรดาบริวารเหล่านั้น ให้เห็นมาก มีทั้งติดคุกติดตะรางอยู่ก็หลายคน ต้องถูกทิ้งขว้างก็มีให้เห็นหลายคน ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปลี้ภัยก็จำนวนไม่น้อย  ถึงกับกลืนเลือดก็หลายคน แบบ วลี ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน หรือ เสร็จนาฆ่าโคศึก หรือจอมหักนักฆ่าเลือดเย็นจากลุ่มเจ้าพระยา ก็สุดแต่ละคนสรรหาหาคำมาใช้กับเหตุที่เกิดกับ บรรดาม้าศึกของเขา กรณีสร้างความไม่พอใจให้กับ ร.ต.อ.เฉลิม นี่ก็ฉายภาพชัด ถึงขั้นท้าทายให้ขับพ้นพรรคและท้าดีเบต จนถูกนายทักษิณใช้วาจาเชิงเหน็บแนมว่า”อย่าไปพูดถึงเขาเลย สงสารเขา ผมสงสารเขา เขาอายุเยอะแล้ว…”


        ครั้นมองย้อนในช่วงที่พรรคเพื่อไทย เป็นฝ่ายค้านมวลชนต่างชื่นชมในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ยืนหยัดสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร แกนนำหลายคนไม่ว่าจะเป็น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายสุธรรม แสงประทุม นายชูศักดิ์ ศิรินิล และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็นต้น มีการคาดหวังจะได้นั่งตำแหน่งเสนาบดีกลับชวด ได้แค่ตำแหน่งที่ปรึกษาปลอบใจ


       โดยหันไปใช้บริการคนเดิมๆที่อยู่ร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเคยร่วมรัฐบาลนายทักษิณ อย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน มานั่งเสนาบดีกระทรวงหลัก เพราะมองตาก็รู้ใจกันแล้วว่าบริหารแนวไหนที่จะเอื้อประโยชน์กันได้ ยิ่งมองถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พาณิชย์ เกษตรฯ ท่องเที่ยว ฯ ล้วนแต่ใกล้ชิดนายทักษิณ จนมีเสียงครหาว่าเสนาบดีเหล่านี้รับฟังคำชี้แนะจากนายทักษิณ มากกว่านายกรัฐมนตรีเสียอีก


   ดังนั้นคงไม่แปลกที่สังคมและสื่อมวลชนต่างมอง นายเศรษฐา ว่าเป็นนายกฯหุ่นเชิด ทำหน้าที่แค่เดินสายสร้างภาพการตลาดไปวันๆ นโยบายที่หาเสียงไว้ไร้การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ชาวบ้านต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอย่างแสนสาหัส  


   จากผลพวงเหล่านี้กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่หวังพึ่งให้รัฐบาลชุดนี้สร้างผลงานให้ประชาชนสัมผัสได้ว่าการดำรงชีพดีขึ้น เพื่อไปสู้กับพรรคก้าวไกล เกิดอาการไม่ปลื้มแบบเดียวกับนายทักษิณ จนเกิดกระแสข่าวถึงขั้นจะเปลี่ยนม้ากลางศึกพร้อมจัดทัพรัฐมนตรีใหม่ แบบมองตารู้ใจนายใหญ่


      สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นจริงแค่ไหน ให้รอดูผลที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตาพรรคก้าวไกล วันที่  7 สิงหาคม และนัดชี้ชะตานายกรัฐมนตรีวันที่ 14 สิงหาคม เพราะผลทั้งสองกรณีล้วนแต่อยู่ในสมการที่จะทำให้อำนาจทางการเมืองผันแปรได้ !!!