วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 ปารมี “ครูจวง” ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนักเรียน ป.1 ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ปราจีนบุรี ถูกครูลงโทษด้วยการให้วิ่งรอบสนามจนเสียชีวิตว่า เด็กนักเรียนอายุเพียง 7 ขวบ แต่งชุดลูกเสือไม่ถูกระเบียบ แต่กลับถูกครูสั่งลงโทษด้วยการให้วิ่งรอบสนาม แม้ครูจะอ้างว่าไม่ทราบมาก่อนว่าเด็กมีโรคประจำตัว แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่าเป็นการลงโทษที่เกินกว่าเหตุและถือเป็นการใช้ความรุนแรงในสถานศึกษาหรือไม่
ที่สำคัญ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษ ปี 2548 ระบุไว้ 4 ประเภทคือ ว่ากล่าวตักเตือน, ทำทัณฑ์บน, ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คำถามคือการวิ่งรอบสนามเข้าเกณฑ์ข้อใด หากอ้างว่าเป็นกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็ต้องถามอีกว่าเมื่อพิจารณาจากวัยของเด็กและเหตุที่ทำให้ถูกลงโทษ ไม่มีกิจกรรมอื่นที่เหมาะสมกว่านี้นอกจากสั่งให้เด็กวิ่งรอบสนามแล้วหรือ ดังนั้นกรณีนี้ครูและโรงเรียนต้องรับผิดชอบอย่างสูงสุดกับหนึ่งชีวิตที่ต้องสูญเสียไปจากการลงโทษที่เกินกว่าเหตุและไม่สมเหตุสมผล ขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสวัสดิภาพของเด็ก
ปารมีกล่าวว่า ตนได้ประสานงานไปยังปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งกำกับดูแลโรงเรียนเอกชนให้เข้าตรวจสอบและดำเนินการให้ความเป็นธรรมต่อพ่อแม่นักเรียนผู้เสียชีวิตแล้ว รวมถึงประสานงานไปยังเลขาธิการคุรุสภา ขอให้ดำเนินการพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของครูคนดังกล่าวทันที ต่อมาเมื่อคดีอาญาถึงที่สุด ศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ก็ขอให้คุรุสภาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ตนยังเสนอหลักการต่อเลขาธิการคุรุสภาว่า ต่อไปนี้เมื่อมีกรณีครูกระทำผิดต่อนักเรียนไม่ว่าจะใช้ความรุนแรงกับนักเรียนหรือคุกคามทางเพศ คุรุสภาต้องพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันที แล้วค่อยดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อว่าถ้าผิดจริง จึงค่อยเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพต่อไป