ย้อนเส้นทางสีกากี”รองฯกิตติ์ชนม์”สะท้อนภาพระบบแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจเหลว ไร้ระบบคุณธรรมชัดเจน

9449


        ติดตามข่าว พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม(รองผกก.ป.สน.ท่าข้าม)พร้อมลูกน้องเข้าระงับเหตุชายวัย 49 ปี มีอาการคุลุ้มคลั่ง ใช้อาวุธปืนทำร้ายบุตรสาวและกักขังไว้ในบ้านพักย่านพระราม 2 แขวง-เขตบางบอน กรุงเทพฯตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุวันที่ 20 กรกฎาคม ต่อเนื่อง 21 กรกฎาคม ผ่านสื่อหลายแขนง


        ตามคลิป พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ขอให้ชายคลุ้มคลั่งเปิดประตูบ้านเพื่อพูดคุย แต่ชายคนดังกล่าวไม่ยอม พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ บอกอย่างใจเย็นว่าระหว่างคุยอยากเห็นหน้าเห็นตากัน ทันใดนั้นชายคคลุ้มคลั่งสาดกระสุนออกมาหลายนัดถูก พ.ต.ท.กิตติ์ชน ล้มลงเสียชีวิต เหตุการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆตำรวจระดมกำลังมาพร้อมอาวุธครบมือ แต่ชายคลุ้มคลั่งไม่ยินยอมมีการยิงปืนขู่เป็นระยะ ตำรวจไม่ลดละใช้ทั้งวิธีเจรจาและยุทธวิธีของตำรวจเวลาทอดยาวไปหลายชั่วโมง ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่พบชายคลุ้มคลั่งเสียชีวิตภายในบ้าน

      หลังเหตุการณ์จบลงมีการตั้งข้อสังเกตในหลากหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นประเด็นคุณภาพเสื้อเกราะที่ตำรวจสวมใส่ รวมถึงการครอบครองอาวุธปืนที่ถูกกฎหมาย เมื่อผู้ครอบครองป่วยทางจิตควรที่จะยึดคืนหรือไม่

   ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)สั่งให้ดูแลสวัสดิการและพิจารณาปูนบำเหน็จตามระเบียบราชการอย่างเต็มที่ รวมถึงขอพระราชทานยศเป็น”พล.ต.อ.”

       หลังการเสียชีวิตของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ชาวเน็ต รวมถึงลูกน้องตามโรงพักต่างๆที่ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ย้ายไปดำรงตำแหน่งต่างๆ โพสต์อาลัยกล่าวสดุดีคุณงามความดี เป็นจำนวนมาก  รวมถึงโรงเรียนวัดท่าข้าม เขตบางขุนเทียน ระบุว่า พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ให้ความร่วมมือจัดกิจกรรมมาตรการรักษาความในสถานศึกษาฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ”หนี ซ่อน สู้ “และร่วมดำเนินงานส่งเสริม”โครงการครูตำรวจแดร์”เสมอมา

        ขณะที่ลูกน้องโรงพักรามัน ยะลาโพสต์ว่าตื่นเช้ามาใจหาย เป็นนายที่แสนดี โลกมนุษย์ไม่ยุติธรรมกับคนดีเลย” ตำรวจโรงพักวังน้อยพระนครศรีอยุธยา ระบุว่า “ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างในการทำงาน ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี จะอยู่ในใจพวกเราตลอดไป” ส่วน ลูกน้องโรงพักท่าข้ามให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ เป็นผู้บังคับบัญชาที่จิตใจดี ไม่เคยใช้คำหยาบหรือดุด่า ผู้ใต้บังคับบัญชาการเลย”

      จากข้อความไว้อาลัยบ่งชี้ได้ว่า พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ เป็นตำรวจที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ครองใจลูกน้องเข้าถึงมวลชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

      เมื่อส่องประวัติบนเส้นทางสีกากี จะพบว่าปี 2537 ดำรงตำแหน่ง สว.จร.สน.บางยี่ขัน ปี 2548 ย้ายไปเป็น รอง สว.งานที่ 3 กก.1 บก.จร. ย้ายไป รองสว.งานสายตรวจ 3 กก.1บก.จร. ปี 2551 ขยับเป็น สว.ฝ่ายปฏิบัติการ 3 บก.ท. ปี 2552 ย้ายไปเป็น สว.ฝอ.บก.น.8 ปี 2555 ย้ายไปเป็น สวป.สภ.เมือง อุบลราชธานี ปี 2558 ย้ายไปเป็น รอง ผกก.สส.สภ.โคกโพธิ์ ปัตตานี ปี 2560 ย้ายไปเป็น รอง ผกก.ป.สภ.รามัน ยะลา ปี 2562 ย้ายเข้าสังกัดตำรวจสันติบาล ก่อนย้ายไปเป็น รอง ผกก.ป.สภ.วังน้อย ปี 2564 ย้ายไปเป็น รอง ผกก.ป.สน.บางมด และปี 2566 ย้ายไปเป็น รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม จบชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วยวัย 59 ปี  

      ถ้ามองเผินๆจะพบว่าขยับตำแหน่งไปตามลำดับ แต่ถ้ามองอย่างวิเคราะห์จะพบว่ากว่า พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ขยับจากรองสว.เป็น สว.ต้องใช้เวลาถึง 14 ปี และใช้เวลาถึง 9 ปี ขยับเป็น รอง ผกก.แถมไปอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ตำรวจส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะลงไปรับตำแหน่งเพราะเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย

        จากประวัติพอบ่งชี้ได้ว่ากว่าจะขยับแต่ละตำแหน่งล้วนแต่ต้องใช้ผลงานและเวลาครองยศที่ยาวนานทั้งที่ รอง สว.ขยับเป็น สว.ครองตำแหน่งแค่ 7 ปี ถ้าพ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ มีนายคอยหนุนและมีปัจจัยช่วย คงไม่ครองตำแหน่งรอง สว.ยาวนานถึง 14 ปี แตกต่างกับบรรดานายตำรวจใหญ่ ระดับ ตร.ทั้งหลายในปัจจุบัน แต่ละคนล้วนเรียนลัด ค้ำถ่อ โตแบบบ่มแก๊ส ครองตำแหน่งกันไม่กี่ปี วิ่งเต้นให้ยกเว้นกฎ กติกา จนเกิดวิกฤตศรัทธาในปัจจุบัน

      ซึ่งตำรวจที่มีเส้นทางบนถนนสีกากีแบบ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ มีอยู่เป็นจำนวน บางนายเคยเป็นดาวกฤษ์ แต่ทนไม่ไหวกับระบบแต่งตั้งโยกย้ายที่ถูกสร้างขึ้นมารองรับพวกมีนาย มีเส้นสายและมีปัจจัย ได้กลายเป็นดาวเคราะห์นั่งนับวันรอเกษียณอยู่จำนวนมาก

     ถ้ากระตุ้นให้นายตำรวจเหล่านี้กลับมาเป็นดาวกฤษ์ ทำได้ไม่อยากเพียงแค่ ผู้บริหารสำนักปทุมวัน คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ผนึกกำลังกัน  สั่งสำรวจกำลังพลที่อยู่ในสถานะดาวดับเสียง แล้วนำมาพิจารณาแต่งตั้งแบบเป็นธรรม ดาวเคราะห์จะกลับมาเป็นดาวกฤษ์เหมือนเดิม  

    แต่ทั้งนี้ ผบ.ตร. รองผบ.ตร. และก.ตร.ต้องใช้ความกล้าหาญที่จะดื้อแพ่งกับผู้มีอำนาจที่จะใช้อำนาจมาบีบให้แหกกฎเพื่อผลักดันนายตำรวจในสังกัดผงาด ถ้าทำได้จริงรับรองว่าศรัทธาที่เสื่อมทรุดจะฟื้นขึ้นมาแบบทันตาเห็น และดีกว่าไปเสียเวลาซ้ำซาก เพ้อฝัน กับการปฏิรูปตำรวจเสียอีก !!!