“ศาลฎีกา” พิพากษายืน สั่งจำคุก 6 ปีไม่รอลงอาญา ’อนุรักษ์’ อดีต ส.ส.เพื่อไทย

149

“ศาลฎีกา” พิพากษายืน สั่งจำคุก 6 ปีไม่รอลงอาญา ’อนุรักษ์’ อดีต ส.ส.เพื่อไทย คดีเรียกสินบน อธิบดีกรมน้ำบาดาล

เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2567 )เวลา 11 นาฬิกา)ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่อม.อธ.7/2566หมายเลขแดงที่ อม.อธ.5/2567 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์

นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ จำเลย คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ก่อนการพิจารณางบประมาณของคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 จำเลยเรียกเงิน 5,000,000. บาทหรือของานโครงการจากนาย ศ. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อแลกกับการไม่ตัดงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล อันเป็นการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบ หรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172,173 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149,157 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 6 ปี กับให้จำเลยพันจากตำแหน่งนับแต่วันที่ 19 เมษายน 2565

อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ

จำเลยอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์รับอุทธรณ์วันที่ 24 มกราคม 2567องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ เห็นว่า เบื้องตัน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการตรวจสอบ เพื่อทราบรายละเอียดตามเรื่องกล่าวหาว่าผู้ถูกร้องเรียนเป็นบุคคลใดมีตำแหน่งหน้าที่ใดได้ หนังสือร้องเรียนมีข้อมูลเบื้องต้นระบุบุคคลที่เกี่ยวข้องเพียงพอที่จะตรวจสอบได้ การตรวจสอบวันรุ่งขึ้นหลังจากได้รับหนังสือร้องเรียนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยสอบปากคำ
นาย ศ. เพื่อทราบถึงผู้ถูกร้องเรียน จึงมีใช่เป็นการมุ่งเอาผิดจำเลยฝ่ายเดียว กรณีจำเป็นต้องไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเองหรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวน คำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนคดีนี้สอดคล้องตรงตามกฎหมายจึงชอบแล้ว ที่คณะกรรมการไต่สวนไม่เรียกพยานหลักฐานที่จำเลยร้องขอก็ไม่ปรากฎว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ตามรายงานและสำนวนการไต่สวนมีการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพยานบุคคล ๑๗ ราย และเอกสารหลักฐานต่าง ๆ รวม 10 รายการ ถือเป็นการไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริงที่เกิดขึ้น เพียงพอที่จะวินิจฉัยมูลความผิดของจำเลยแล้ว คณะกรรมการไต่สวนย่อมมีดุลพินิจที่จะมีคำสั่งได้ การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเป็นไปโดยชอบแล้ว

ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์โดยมติเสียงข้างมาก เห็นว่า คำเบิกความของนาย ศ. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่นาย ศ. เบิกความถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ ตนได้ประสบพบมาเป็นลำดับขั้นตอนตั้งแต่การพิจารณางบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในระดับกระทรวงเรื่อยมาจนถึงระดับกรมในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จนถึงคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ทำให้เห็นพฤติการณ์ของจำเลย

ที่ตั้งข้อสังเกตและซักถามงบประมาณเฉพาะกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมาโดยตลอด ลักษณะที่เน้นย้ำถึงโครงการของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล มิได้มีลักษณะเป็นการตรวจสอบการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐตามปกติ แต่เป็นการสร้างความกดดันและความกังวลแก่ผู้รับการพิจารณาว่าจะถูกตัดหรือลดงบประมาณหรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองในการแสวงหาประโยชน์ อันทำให้เห็นมูลเหตุชักจูงใจให้จำเลยโทรศัพท์หานาย ศ. ผ่านการติดต่อของนาง น. เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ ในคืนวันเกิดเหตุ นาย ศ. และจำเลยใช้เวลาสนทนาครั้งแรก 9 นาทีเศษ และใช้เวลาสนทนาครั้งที่สอง 6 นาทีเศษ สอดคล้องกับข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ข้อความที่มีการสนทนาโต้ตอบกันทางโทรศัพท์ตั้งแต่การเรียกเงิน
5,000,000. บาท เมื่อนาย ศ. ปฏิเสธก็เปลี่ยนมาเป็นของานแทน เพื่อแลกกับการไม่ตัดลดงบประมาณ มีลักษณะพูดต่อรองกันไปมา ซึ่งมีรายละเอียดมาก ยากที่จะแต่งเรื่องขึ้นมาให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะข้อความที่สนทนากันในเรื่องของานยังสอดคล้องกับการตั้งข้อสังเกตและซักถามของจำเลยในการประชุม ซึ่งมุ่งเฉพาะโครงการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลที่มีงบประมาณไม่มาก

ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยโทรศัพท์ติดต่อนาย ศ. ขอแบบแปลนและประมาณราคาเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณโดยตร.ทั้งที่ต้องดำเนินการผ่านเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามข้อบังคับการประชุมและแนวทางปฏิบัติที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวดำเนินการสืบกันมา ไม่สมเหตุสมผล จึงเป็นพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ สำหรับที่นาย ศ. กล่าวต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ และให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนว่าได้มีการบันทึกเสียงการสนทนาไว้นั้น ก็น่าเชื่อว่าเป็นการพูดต่อด้วยความไม่พอใจ และแสดงให้เห็นว่าตนมีพยานหลักฐานที่มั่นคงที่จะกล่าวหา

จำเลยได้ โดยบันทึกชี้แจงข้อเท็จจริง คำให้การ และคำเบิกความ นาย ศ. คงยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์โทรศัพท์เรียกเงินหรือของานของจำเลยมาโดยตลอด ดังนั้น คำเบิกความในส่วนนี้จะแตกต่างกันไปบ้าง แต่สาระสำคัญแห่งคดีมิได้เปลี่ยนแปลง ข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความ การตั้งข้อสังเกตและซักถามของจำเลย และการชี้แจงของนาย ศ. เป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตามธรรมดาย่อมมีเหตุกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นได้ หากจะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นระหว่างการประชุมบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ไม่น่าจะร้ายแรงถึงขนาดว่าจะต้องปั้นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลย อีกทั้งในคืนวันเดียวกันแทบจะในทันทีภายหลังเกิดเหตุ นาย ศ. ได้โทรศัพท์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ไปหานาย ภ . และนาย ส. เล่าเรื่องการเรียกเงินดังกล่าวให้ฟังทันที ย่อมไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งเรื่อง โดยในส่วนนี้ โจทก์ยังมีนาย ภ. และนาย ส. มาเบิกความยืนยันว่า นาย ภ.โทรศัพท์ติดต่อหาจำเลยเช่นกัน มีการซักถามจนนำไปสู่การพูดในเชิงของานของกรมดังกล่าว และในวันรุ่งขึ้น นาย ศ. ยังโทรศัพท์ติดต่อนาย น. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เล่าเรื่องที่ถูกจำเลยเรียกเงินให้ฟังด้วย แม้นาย ภ. นาย ส. และ นาย น. เป็นคนรู้จักกันในฐานะเพื่อนและผู้ใต้บังคับบัญชาก็ตาม แต่ต่างก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเป็นถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่มีสาเหตุโกรธเคืองหรือขัดแย้งกับจำเลยมาก่อน พยานบุคคลทั้งสามยังเบิกความเชื่อมโยงกับที่นาย ศ. เบิกความ

จึงเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง พยานพฤติเหตุแวดล้อมของโจทก์ดังกล่าวที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมสนับสนุนคำเบิกความของนาย ศ. ประจักษ์พยานให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
การที่จำเลยโทรศัพท์เรียกเงินหรือขอผลประโยชน์จากโครงการในการจัดทำงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นการอาศัยโอกาสในตำแหน่งที่ตนมีอำนาจและหน้าที่ที่สามารถเสนอปรับลดงบประมาณได้ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์สุจริต อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นการขอ เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งของจำเลย ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 173 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149

เมื่อคดีฟังได้ดังกล่าวแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษามานั้น องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์โดยมติเสียงข้างมากเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์#ศาลฎีกา#อนุรักษ์ อดีต ส.ส.เพื่อไทย