คุ้มกัน’แป้ง นาโหนด’ถึงคุกบางขวาง กักโรค5วันก่อนแยกขังเดี่ยว !!

202

‘แป้ง นาโหนด‘ ถึง กรุงเทพฯ แล้ว ชุดหนุมานกองปราบฯ – ราชทัณฑ์ ดูแลเข้ม พร้อมส่งตัวไปส่งเรือนจำกลางบางขวาง ด้าน ผบ.เรือนจำ แจงขั้นตอนรับตัว กักโรค 5 วัน ก่อนส่งแดนขัง เจ้าตัวไม่กังวลถูกขังเดี่ยว

วันที่ 4 มิ.ย. 67 เวลา 11.20 น. ที่กองกำกับการ 3 กองบินตำรวจ ดอนเมือง เจ้าหน้าที่นำตัวนายเชาวลิต ทองด้วง หรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด จากสนามบินนานาชาตินครศรีธรรมราช มาถึงสนามบินกองกำกับการ 3 กองบินตำรวจ โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ จากกรมราชทัณฑ์ พร้อมอาวุธครบมือ รอรับตัวเพื่อเตรียมนำตัวส่งเรือนจำกลางบางขวาง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้จัดรถยนต์คุ้มกันขบวนจากกองบังคับการปราบปราม 2 คัน รถคุ้มกัน 2 คัน และมีรถตู้ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน คอยดูแลความปลอดภัย 1 ชุด จำนวน 4 นาย และมอเตอร์ไซค์ตำรวจ นำขบวน จำนวน 1 คัน โดยนายเชาวลิต จะอยู่ในรถตู้ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง และมีรถตู้ชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมราชทัณฑ์ 2 คัน และรถคุ้มกัน 1 คัน คอยประกบรถตู้ที่นายเชาวลิตนั่งอยู่ เพื่อขนย้ายนักโทษ จากท่าอากาศยานไปยังเรือนจำกลางบางขวาง

เมื่อเครื่องลงจอดเสร็จ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำรถตู้เข้าไปรับตัวข้างเครื่องบิน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประกบอย่างแน่นหนา โดยนายเชาวลิต สวมเสื้อราชทัณฑ์ สวมเสื้อเกาะกันกระสุน ใส่แมสก์สีขาว และสวมหมวกสีเขียว พร้อมใส่เครื่องพันธนาการที่ข้อมือ และเท้า ก่อนที่จะเจ้าหน้าที่จะนำตัวขึ้นรถ และขบวนรถจะเดินทางออกในเวลา 11.33 น.

อย่างไรก็ตาม การวางแผนจัดกำลัง และเส้นทางขนย้ายนักโทษ ไม่ได้รับการเปิดเผย เนื่องจากเป็นความลับในการส่งตัวนักโทษ

คุมตัวเสี่ยแป้ง นาโหนด ส่งเรือนจำบางขวาง – อาจถูกขังเดี่ยว 3 เดือน เจ้าตัวส่ายหน้าไม่กดดันหากถูกขังเดี่ยว

ต่อมาเวลา 11.50 น. ทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้จอดรถตู้ที่คุมตัวแป้ง นาโหนดที่บริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางบางขวาง และคุมตัวเดินเข้าไปด้านใน ทันทีที่ลงจากรถ แป้ง ยกมือไหว้ 1 ครั้งและผู้สื่อข่าวสอบถามแป้ง นาโหนด ว่ากังวลหรือไม่ถ้าถูกขังเดี่ยว แป้งนาโหนดส่ายหน้า และไม่ตอบคำถามอื่นๆกับสื่อมวลชนอีก

ขณะที่แหล่งข่าวในกรมราชทัณฑ์ ให้ข้อมูลหลังจากสังคม มีความกังวลว่า เสี่ยแป้ง อาจจะหลบหนีออกจากเรือนจำได้อีกหรือไม่ แหล่งข่าวระบุว่า เรือนจำบางขวาง มีมาตราการเข้มงวดในการคุมขังผู้กระทำผิด มีสถานพยาบาลภายในเรือนจำ คอยดูแลรักษาโรคตั้งแต่อาการป่วยเล็กน้อย ไปจนถึงโรคร้ายแรง สำหรับเสี่ยแป้ง เมื่อเข้าเรือนจำมาแล้วจะแยกการควบคุม โดยมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพและเฝ้าระวังเหตุอยู่ตลอดเวลา โดยมีเจ้าหน้าที่เรือนจำ เฝ้าระวังใกล้ชิด สำหรับเสี่ยแป้งเป็นนักโทษหลบหนี อาจถูกลงโทษทางวินัย โดยการขังเดี่ยว 3 เดือน ตามกฎหมาย โดยจะมีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นเพราะเป็นนักโทษเคยหลบหนีขณะรับการรักษา ซึ่งในตอนนั้น โทษสูงสุดคือ “จำคุกตลอดชีวิต ในฐานชิงตัวประกัน เมื่อปี 2562” ส่วนการเยี่ยมอยู่ตามมาตรการของเรือนจำโดยเบื้องต้นยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม

ส่วนกระแสข่าวว่าจะนำตัวเสี่ยแป้ง ไว้ที่เรื่อนจำความมั่นคงสูงอย่างเรือนจำเขาบิน จ.ราชบุรี แหล่งข่าวในราชทัณฑ์ บอกว่า การฝากขังต้องเป็นไปตามความเหมาะสม เช่น เป็นนักโทษจากการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และมีประวัติหลบหนี การส่งมาขังที่ส่วนกลาง จะทำให้การตรวจสอบง่ายขึ้น แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมแบบเดิมซ้ำ จะอาจจะย้ายไปที่เรือนจำที่มีความมั่นคงสูงสุด หรือ ที่เรียกกว่า Super max ได้แก่ เรือนจำกลางเขาบิน , เรือนจำกลางระยอง ,เรือนจำกลางพิษณุโลก , เรือนจำกลางคลองไผ่ และเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เป็นต้น

ผบ.เรือนจำกลางบางขวาง เปิดขั้นตอนรับตัว แป้ง นาโหนด กักโรคโควิด 5 วัน ก่อนพิจารณาแดนขัง

ด้าน นายยุทธนา นาคเรืองศรี ผบ.เรือนจำกลางบางขวาง เปิดเผยถึงขั้นตอนการรับตัวนายเชาวลิต ทองด้วง หรือแป้ง นาโหนด ว่า สำหรับขั้นตอนในการควบคุมตัวเมื่อนายเชาวลิตเข้าสู่เรือนจำกลางบางขวางแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนทั่วไป โดยจะเป็นไปตามกระบวนการ ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตรวจร่างกายผู้ต้องขังเข้าใหม่และผู้ต้องขังเข้า-ออกเรือนจำ พ.ศ. 2561 ดังนี้

เมื่อเรือนจำฯ ได้รับตัวผู้ต้องขังย้ายเข้าใหม่แล้วให้เจ้าพนักงานเรือนจำที่รับตัวให้ตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นบุคคลตามชื่อที่ปรากฏในหมายอาญาที่ระบุให้มีการย้ายตัวมายังสถานคุมขังจริงหรือไม่ หรือเอกสารอันเป็นคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฏหมายหรือไม่ ประกอบด้วย การตรวจสอบชื่อนามสกุลและเลขประจำตัวประชาชนของผู้ต้องขัง ตามที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชน และพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องขัง และเทียบความถูกต้องกับลายพิมพ์นิ้วมือที่ส่งมา

จากนั้นเมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าผู้ต้องขังที่รับตัวมาเป็นบุคคลเดียวกับบุคคลตามหมายอาญา หรือเอกสารคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ให้ดำเนินการ “จัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง” ในวันที่รับตัว โดยมีรายละเอียดอย่างน้อย ดังนี้ ชื่อ-นามสกุล ผู้ต้องขัง เลขประจำตัวประชาชน หรือเอกสารแสดงตนของผู้ต้องขังเท่าที่ทราบ ข้อหาหรือฐานความผิดที่ผู้นั้นได้กระทำ พิมพ์ลายนิ้วมือ หรือสิ่งแสดงลักษณะเฉพาะของบุคคล และตำหนิรูปพรรณ สภาพร่างกายและจิตใจ ความรู้ ความสามารถ

นายยุทธนา เผยอีกว่า เมื่อจัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังเสร็จสิ้นแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจค้นตัวและสัมภาระ ถัดไปจะเข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองโรค โดยเจ้าหน้าที่พยาบาล หรือผู้ที่ผ่านการอบรมด้านงานพยาบาลของเรือนจำฯ ดำเนินการตรวจสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้ต้องขังและสอบถามเรื่องโรคประจำตัว ยารักษาโรคต่าง ๆ อีกทั้งจะมีการบันทึกรายงานเกี่ยวกับบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังก่อนเข้าเรือนจำฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อใช้ยืนยันว่าผู้ต้องขังได้มีลักษณะบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยมาก่อนที่จะเข้าไปในเรือนจำหรือไม่ และผู้ต้องขังจะต้องเซ็นชื่อกำกับการบันทึกดังกล่าวด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง ท้ายสุดผู้ต้องขังจะถูกแยกไปทำการกักโรคโควิด-19 ที่ห้องกักโรคของสถานพยาบาลภายในเรือนจำฯ ระยะเวลา 5 วัน เนื่องจากนายเชาวลิต เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอินโดนีเชีย และก่อนหน้านี้ก็มีการเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกาะบาหลี เมืองเมดาน เป็นต้น ส่วนระหว่างการกักโรค (ห้องเดี่ยว) จะไม่ได้อยู่ร่วมกับผู้ต้องขังใหม่ เพราะเรือนจำกลางบางขวาง เป็นเรือนจำความมั่นคงสูง ไม่ค่อยมีการรับตัวผู้ต้องขังใหม่รายวัน เว้นแต่ในวันนั้นจะมีผู้ต้องขังโทษประหารชีวิตย้ายมา จากนั้นเมื่อกักโรคโควิด-19 ครบกำหนดระยะเวลาไม่พบว่ามีเชื้อโควิด-19 ทางคณะทำงาน นำโดยผู้บัญชาการสถานการณ์ที่มีนายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธาน จะพิจารณาว่าควรนำตัวนายเชาวลิตไปคุมขังยังแดนขังใด

นายยุทธนา เผยด้วยว่า ประการสำคัญที่จะแยกคุมขังนายเชาวลิตไปยังแดนใดนั้น คณะทำงานโดยนายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และในฐานะผู้บัญชาการสถานการณ์ จะมีการพิจารณาร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ เนื่องจากเรือนจำกลางบางขวาง เป็นเรือนจำความมั่นคงสูง มีการรับตัวผู้ต้องขังอัตราโทษสูง คดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงจากทั่วประเทศมาอยู่ที่นี่

ดังนั้น จึงยังไม่สามารถสรุปผลในตอนนี้ได้ว่านายเชาวลิตจะถูกคุมขังแดนใด อีกทั้งเจ้าตัวมีการพัวพันหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีพยายามฆ่า คดีต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงาน คดีทำร้ายร่างกายผู้อื่น คดีหลบหนีออกจากสถานคุมขัง และคดียาเสพติด เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักการปกติที่เรือนจำฯ จะต้องตรวจสอบว่าภายในมีโจทก์หรือเครือข่ายเก่าหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ต้องขังบางรายเคยไปข้องเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวของผู้ต้องขังอื่นๆในแดนมาก่อน (ชู้สาว) หรือเคยไปมีเหตุเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก่อน ทั้งจี้ จับ ปล้น บังคับขืนใจ จึงเป็นเหตุให้ต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาพอสมควร

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #ข่าวสังคมอาชญากรรม #แป้งนาโหนด