“ชัชชาติ”ส่งการบ้าน2 ปีแห่งการทำงาน“ประชาชนคือเจ้านาย หัวใจรับใช้ประชาชน”

199

ผู้ว่าฯชัชชาติ รายงานผล 2 ปี แห่งการทำงาน “ประชาชนคือเจ้านาย หัวใจรับใช้ประชาชน” พร้อมเดินหน้าทำให้คนเมืองเหนื่อยน้อยลง เผยให้คะแนนตัวเอง5เต็ม10คะนน

(28 พ.ค. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงกับสื่อมวลชน ในโอกาสการครบรอบ 2 ปีของการทำงาน ภายใต้ชื่องาน “2 ปี ทำงาน ‘เปลี่ยน ปรับ’ ยกระดับเมืองน่าอยู่” พร้อมทั้งแสดงวิสัยทัศน์การทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวถึงสิ่งที่ได้ทำตลอดช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมา เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของกรุงเทพมหานครเพื่อความสุขที่มากขึ้นของชาวกรุงเทพมหานคร ทำให้ตอนนี้กรุงเทพฯมีการเปลี่ยนแปลง ในหลายๆเรื่อง ประเด็นแรกที่ต้องพูดถึงเลยก็คือ การปรับ Traffy Fondue คือหนึ่งในตัวอย่างที่ได้ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของประชาชน โดยตัดขั้นตอนจากที่ต้องใช้เอกสารมาเป็นออนไลน์ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่ง 2 ปีที่เปิดให้ประชาชนร้องเรียนความเดือดร้อนผ่าน Traffy Fondue ได้ลงมือแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว 465,291 เรื่อง จากที่มีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 588,842 เรื่อง คิดเป็น78% อยู่ระหว่างแก้ไข 58,456 เรื่อง เฉลี่ยระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมา ลดลง 97% จากเดิมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เหลือเพียง 2 วัน อย่างล่าสุดได้ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างที่ซอยประชาอุทิศ 17 เสร็จภายใน 1 วัน 12 ชั่วโมง หลังได้รับแจ้งจากประชาชนผ่านทาง Traffy Fondue ทางเท้าถนนบรรทัดทอง ซ่อมพื้นผิวเสร็จภายใน 4 วัน เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ลดขั้นตอนให้แจ้งเรื่องร้องเรียนได้ง่ายขึ้น โดยลดคำถามจากเดิม 5 คำถาม เหลือ 3 คำถาม นำ AI เข้ามาใช้ในการระบุประเภทของเรื่องร้องเรียนอีกด้วย

ส่วนทางเดินเท้าเป้นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจาก กทม. มุ่งมั่นในการทำทางเท้าให้เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกเพศทุกวัย ตลอดจนคนพิการและผู้สูงวัยได้ใช้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยยึดมาตรฐานทางเท้าที่แข็งแรง คงทน และสวยงามด้วย ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับปรุงทางเท้าไป 785 กม. ขณะเดียวกันได้ปรับพื้นลดความสูงของทางเท้า ทางเข้าออกอาคารให้เรียบเสมอทางเท้า

อีกเรื่องที่สำคัญสำหรับชาวกรุงเทพมหานครเป็นอย่างยิ่งก็คือเรื่องของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม นับตั้งแต่มีการถอดบทเรียนและรวบรวมข้อมูลจุดน้ำท่วมทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2565 พบจุดสำคัญที่ต้องแก้ไข 737 จุด ขณะนี้แก้ไขแล้ว 370 จุด และจะแก้ไขได้ทันในปี 67 อีก 190 จุด ซึ่งการล้างท่อระบายน้ำทำไปแล้ว 4,200 กม. ทำความสะอาดคลองเปิดทางน้ำไหล 1,960 กม. ขุดลอดคลอง 217 กม. พร้อมทั้งทำการบำรุงรักษาประตูระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ ล้างอุโมงค์ระบายน้ำทุกแห่ง และตรวจสอบเครื่องสูบน้ำทุกเครื่องให้พร้อมใช้งาน ทางด้านการลดปัญหาฝุ่นละออง ทางกทม. ได้ให้ความสำคัญเพื่ออากาศสะอาดของชาวกรุงเทพมหานครนอกเหนือจากดำเนินการตามมาตรการลดฝุ่นที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จากนี้จะมีการเปลี่ยนรถบริการของ กทม. ไม่ว่าจะเป็น รถเก็บขยะ รถบรรทุกน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ รถบรรทุก 6 ล้อ จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน ทั้งนี้จากการคำนวณรถขยะขนาด 5 ตัน สามารถลดค่าเช่าลงเหลือ 2,240 บาท/คัน/วัน จาก 2,800 บาท/คัน/วัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 200 ตัน/ปี จาก 2,256 ตัน/ปี ลดการปล่อย PM2.5 เหลือเป็นศูนย์ จาก 22 กก./ปี และลดต้นทุนพลังงานเหลือ 455 บาท/เที่ยว จาก 1,300 บาท/เที่ยว โดยมีแผนรับมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในปี 67 จำนวน 615 คัน ปี 68 จำนวน 392 คัน และปี 69 อีก 657 คัน นอกจากนี้ยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบ และลดต้นทุนการจัดการขยะ โดยคาดว่าจะเปิดในปี 69 ซึ่งจะประหยัดเงินค่าจัดการขยะได้ 172,462,500 บาท/ปี

โอกาสนี้อยากเชิญชวนคนกรุงเทพฯ เตรียมตัวพบกับงานนิทรรศการกรุงเทพมหานคร ปี 2567 หรือ BKK EXPO 2024 ภายใต้แนวคิด “เมืองเปลี่ยนได้เพราะคุณ” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่าง 20-23 มิถุนายน 2567 ณ อาคารพิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ สวนเบญจกิตติ เขตคลองเตย นิทรรศการมีชีวิตที่ให้คนกรุงเทพฯ และผู้สนใจทุกวัยได้ไปร่วมสัมผัสความเป็นเมืองในยุค 2024 ผ่านกิจกรรม การสาธิต เกม การเล่าเรื่อง การละเล่นที่สนุกสนาน ใน 5 เมือง บูทอาหารร้านเด็ดจาก 50 เขต สินค้าชุมชน กิจกรรมเวิร์กช็อปต่าง ๆ สนามเด็กเล่นกลางแจ้งขนาดใหญ่โดยกลุ่มสร้างสรรค์การเรียนรู้ เวทีเสวนาและการแสดงที่หลากหลาย โดยสามารถติดตามรายละเอียดผ่านเฟซบุ๊กเพจ “กรุงเทพมหานคร”

ต่อมา นายชัชชาติ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นการมารายงานผลงาน2 ปีให้กับประชาชน และเป็น2ปีของความท้าทาย และสิ่งที่ตกผลึกคือ กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าเที่ยวแต่ประสิทธิภาพยังไม่สูงมาก ทั้งความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆอย่างมีคุณภาพ และที่ผ่านมาเชื่อว่า เราได้พยายามเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพของเมืองเพื่อให้มีความสุขมากขึ้น ซึ่งก็ทำในมิติหลายด้านนโยบายกว่า200โครงการ ได้เดินหน้าไป บางอันก็มีการปรับเปลี่ยน และ 2ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน ซึ่ง6ด้านที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวร คือ

1.การเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เจ้าหน้าที่กทม. ‘หันหลังให้ผู้ว่าหันหน้าให้ประชาชน’ โดยใช้ทราฟฟี่ฟองดูร์ในการแก้ไขปัญหา  จนถึงปัจจุบันมีเรื่องที่ประชาชนแจ้งมาแล้วกว่า 590,000เรื่อง และแก้ไปแล้วเกือบ5แสนเรื่อง โดยที่ผู้ว่าไม่ต้องสั่งการ

2.การกระจายอำนาจสู่ประชาชน โดยเอางบประมาณลงไปในชุมชนลงไปในเขตให้มากขึ้น

3. เรื่องความโปร่งใส เพราะรับเรื่องทุจริตคอรัปชั่นไม่ได้ หากเมืองไม่โปร่งใส ไม่มีทางมีประสิทธิภาพได้ และก็จะเสียทรัพยากรไปเพราะจะทำให้คนมีเส้นถึงจะมีสิทธิ ดังนั้นที่ผ่านมามีการเอาเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตอเกไปแล้วเกือบ30คน

4.การใช้เทคโนโลยี เพื่อมาปรับปรุงการให้บริการ

   5.รวมถึงการมีส่วนร่วมกับประชาชนในการทำกิจกรรมต่างๆในกทม.ซึ่งมีคนรุ่นใหม่มามีส่วนร่วม เพราะเชื่อส่าเมืองนี้จะเปลี่ยนได้ถ้าทุกคนร่วมกัน

   6. กล้าทำปัญหาที่ท้าทาย โดยเฉพาะปัญหาสำคัญคือ เรื่องหนี้ BTS ที่หมักหมมมานาน กทม.จึงได้มีการจ่ายหนี้ ก้อนแรกไปแล้ว  ในงานระบบส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จำนวน 23,000ล้านบาท รวมถึงโอนกรรมสิทธิ์ โครงการส่วนต่อขยาย มาเป็นของกทม. ซึ่ง สิ่งที่จะต้องทําต่อไปคือ การลดการผูกขาด โดยจะเสนอรัฐบาล ยกเลิกคำสั่ง ม.44 นำระบบรถไฟฟ้ากลับสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและร่วมทุนตามกฎหมายให้โปร่งใส และมีประโยชน์มากที่สุดกับประชาชน  รวมถึงความทัาทายเรื่องระบบการศึกษา  การพัฒนาระบบสาธารณสุข เพราะเป็นตัวช่วยเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ

   ทั้งนี้ เชื่อว่าทั้ง 6ด้าน สิ่งที่เป็นเชิงโครงสร้างที่ทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกรุงเทพมหานคร โดยผ่านนโยบายและ โครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของเมือง จะเป็นผลในระยะยาว และอีก2ปี แม้ตนเองไม่อยู่แล้ว แต่โครงสร้างนี้จะยังอยู่ น่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลง และถ้ามีประโยชน์จะขยายผลไปที่จังหวัดอื่นและระดับประเทศไทย

   “ผมเชื่อว่า สิ่งที่ได้ทำมานั้น หากผ่าน4ปีไปแล้ว ผมไม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยังอยู่คือโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คือให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเสียงของประชาชนมีพลังมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ”

ส่วนสิ่งที่ยังต้องปรับปรุง เนื่องจากปัจจุบันยังมีพฤติกรรมผักชีโรยหน้าอยู่ ซึ่งยังไม่ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น รวมถึงการทุจริตคอรัปชั่น ที่ยังมีกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพล แต่เราก็ไม่กลัวและเดินหน้าต่อ /รวมถึงฝาท่อ ที่กทม.ต้องไปควบคุมคุณภาพ /รถที่จอดริมถนน รวมถึงหาบเร่ที่ลงอยู่บนถนน ซึ่งเมื่ออยู่ลนถนนจะเป็นอไนาจของ ตำรวจ ดังนั้นจึงต้องเป็นการบูรณาการ ดังนั้นจึงต้องทำ 3ส่วน คือ ปรับปรุงพนักงานของกทม.ให้จริงจังขึ้น /บูรณาการหน่วยงานให้เข้มข้นและให้ดีขึ้น /แก้ระเบียบที่ล้าหลัง

 ทั้งนี้ ผู้ว่าชัชชาติ ยืนยันว่า กทม.ก็จะทำงานเต็มที่ เพื่อให้คนเหนื่อยน้อยลงและเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นเพื่อให้คนอยู่ในครอบครัวและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และ หากให้คะแนนเต็ม10 ผู้ว่าฯชัชชาติ บอกว่า ก็ขอให้คะแนน5คะแนน เพราะจริงๆคะแนนเป็นหน้าที่ของประชาชนที่ต้องให้คะแนน และยังต้องปรับปรุงพัฒนาต่อไป โดยน้อมรับคำติทุกคอมเม้นมาปรับปรุงให้ดีขึ้น และเขื่อว่ายังมีเรื่องในกทม.ให้ทำอีกมาก และผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังมองด้วยว่า หลังจากนี้คนจะใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น เพราะต้นทุนชีวิตคือ คนจะใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องไปเสียเวลาการเดินทาง และได้ใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเอาคุณภาพชีวิตไปเสี่ยงกับมลพิษต่างๆ  ซึ่งเชื่อว่า กทม.ไม่ได้มีนโนบายที่เป็นแชมป์เปี้ยนอันเดียว ต้องมีนโยบายเป็นร้อย เพราะไปแตะกับชีวิตคนหลายเรื่อง ดังนั้นจึงต้องเดินหน้าพัฒนาเมืองหน้าอยู่ในหลากหลายมิติ

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบแทบลอยด์ #กรุงเทพเมืองน่าอยู่ #ชัชชาติสิทธิพันธุ์