ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เข้ารายงานตัวกับ บก. ปอท. แล้วเมื่อวานนี้ (16 ส.ค.) เวลา 13.00 น. พร้อม นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความ ได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ซึ่งได้กล่าวว่า หากจำกันได้มีประชาชนจำนวนมากคัดค้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเล่นงานคู่แข่ง และประชาชนที่เห็นต่าง ซึ่งก็กลายเป็นจริง โดยพรรคเพื่อไทยขอยืนยันว่าจะมีนโยบายแก้ไข พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ฉบับนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสามารถนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศให้ก้าวทันโลก มากกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดเห็น และเป็นการหยุดยั้งความเจริญของประเทศ ซึ่งรัฐบาลและ คสช. อาจจะไม่เข้าใจว่าการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนจะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ หายไปด้วย อีกทั้งยังทำลายบรรยากาศการลงทุนของประเทศ
นายพิชัย กล่าวว่าทั้งนี้ ข้อหาที่พยายามดำเนินคดีอาญา กับตนนั้นค่อนข้างเลื่อนลอย และไม่มีแม้แต่มูลคดีอาญาใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากรูปแรก เป็นรูปนิตยสารไทม์ที่เขียนว่า “สั่งแบนแล้ว ห้ามจำหน่ายในประเทศไทย” ซึ่งเป็นรูปที่กระจายจน เป็นที่รับรู้ของสาธารณะชนโดยทั่วไป และ ตนเห็นจึงได้นำมาโพสต์ เพราะมีคนจำนวนมากอยากซื้อนิตยสารฉบับนี้แต่หาซื้อไม่ได้ ร้านค้าก็บอกว่าไม่มีการนำเข้ามาจำหน่าย ตนเห็นรูปก็คิดว่าเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าใครแบน อาจจะเป็นร้านค้าแบนเอง ห้ามจำหน่ายเองก็ได้ อีกทั้งในอดีตก็มีการปิดช่องโทรทัศน์ เช่น ปิด Voice TV , Peace TV และ TV 24 และ ยังมีการปิดรายการโทรทัศน์อีกจำนวนมากซึ่งหนักกว่าการห้ามขายหนังสือนิตยสารมาก เรื่องดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือ ทำความเสื่อมเสียเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด คสช. ไม่น่าจะมาฟ้องตนได้ ส่วนอีกภาพหนึ่ง เป็นเรื่องการดูด 4.0 ในการสัมมนาของภาคประชาชนที่ได้เชิญตนไปร่วม จึงเป็นความเห็นทางวิชาการ ซึ่งมีข่าวการดูดและข้อมูลวิธีการการดูดออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ตนเพียงนำข้อมูลมาแชร์ในวงสัมมนาเท่านั้น อีกทั้งในรูปภาพก็ไม่ได้ระบุว่าคสช. เป็นผู้ดูด การที่ คสช. มาฟ้องตน เท่ากับยอมรับว่า เป็นผู้ดูด สส. เองใช่หรือไม่
นายพิชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนต้องขอขอบคุณ คุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ซึ่งเป็นภาคประชาชน ที่ได้ออกมาปกป้องและชี้แจงแทนตนในเรื่องการสัมมนาครั้งนั้น เพราะภาคประชาชนห่วงว่าการดูด สส. ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้เงินจำนวนมากซึ่งไม่รู้มาจากไหน จะยิ่งทำให้มีการทุจริตคอรัปชั่นมากยิ่งขึ้นหลังการเลือกตั้ง หากพรรคที่ดูด สส. เข้าไปเป็นรัฐบาล โดยการสัมมนาเป็นเสรีภาพของภาคประชาชนที่จะสะท้อนความคิดเห็นให้กับสังคมได้คิด ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลและ คสช. ได้ย้อนกลับไปพิจารณาว่า ข้อท้วงติงที่ตนได้นำเสนอต่อสังคมจนถูก คสช.เรียกตัวและดำเนินคดีอาญา รวมกันถึง 11 ครั้งนั้น เป็นข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์กับสังคมและผู้บริหารประเทศในยุคนี้หรือไม่
“รัฐบาลและคสช. น่าจะนำข้อท้วงติงของตนไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขการบริหารงานมากกว่าจะเสียเวลามาเรียกตน ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อนเหมือนในปัจจุบัน และอยากให้ศึกษาแนวคิด ทักษิโณมิกส์แนวใหม่ที่จะออกมาช่วงเลือกตั้งซึ่งจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแน่นอน” นายพิชัย กล่าว