นายกฯกับแฟชั่นผ้าขาวม้า ไม่เหนียมสวมผ้าไทยโชว์บนเวทีโลก ควรยินดีมากกว่าตำหนิ หรือเหน็บแนม สวมใส่ให้ชาวโลกได้รู้จักสินค้าไทยที่ถูกซ่อนอยู่ในซอก
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6:3ให้รับเรื่องที่วุฒิสมาชิก(ส.ว.) 40 คนยื่นคำร้องให้พิจารณาวินิจฉัยถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 170(4)และ(4)และมมีมติ 5:4 ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้ชี้แจงภายใน 15 วัน เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลคงลุ้นกันว่านายเศรษฐา จะถูกสั่งให้พ้นหน้าที่หรือไม่ แต่คงลุ้นกันแบบเบาๆไม่ระทึกหนัก เพราะผู้มีอำนาจเหนือพรรคเพื่อไทยยังมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งอยู่ จะลงเอยแบบไหนต้องติดตาม
เชื่อว่าสื่อหลายสำนักคงวิเคราะห์กันอย่างหลากหลายพร้อมกับผูกโยงถึงกลุ่มอำนาจต่างๆที่จะออกมาขับเคลื่อนทั้งเชียร์รัฐบาลและดิสเครดิตรัฐบาล รวมถึงจังหวะก้าวของนายเศรษฐาจะปรับขบวนในการสู้และตั้งรับอย่างไร ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าว”จอมมารน้อย”ไม่ขอเขียนถึง แต่จะเขียนถึงในมุมเบาๆสบายๆของนายเศรษฐา ในฐานะนายแบบที่นำผ้าไทยและผ้าขาวม้าไทยใส่โชว์ระหว่างเยือนต่างประเทศ
สำหรับเรื่องแฟชั่นขอสารภาพว่ามีความรู้น้อยถึงขั้นน้อยมาก แต่ที่จะเขียนถึงคือบทบาทนายเศรษฐา ระหว่างเดินสายทัวร์ต่างประเทศ หวังดึงนักลงทุนและกลุ่มทุนต่างๆเข้ามาลงทุนในประเทศ รวมถึงเชิญชวนให้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยการสวมใส่ผ้าไทยแบบต่างๆ เดินโชว์ในต่างแดนและเข้าพบผู้นำต่างชาติในโอกาสที่เหมาะสม
ล่าสุดเดินทางเยือนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี นายเศรษฐาพร้อมคณะ สวมเสื้อที่ตัดเย็บจากผ้าข้าวม้า ผ้าย้อมคราม เดินเฉิดฉายขณะเข้าพบผู้นำประเทศและนักธุรกิจชั้นนำของทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันนำเสนอผ้าไทย ผ้าย้อมคราม และผ้าขาวม้า ให้แบรนด์ดังระดับโลกของอิตาลีนำไปตัดเย็บเสื้อผ้าหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ออกจำหน่ายโลก
การกระทำของนายเศรษฐา เสมือนฉีกกฎที่ผู้นำไทยในอดีตไม่เคยทำมาก่อน กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายตรงข้ามดังกระหึ่มว่าไม่ถูกกาลเทศะ บางกลุ่มเหน็บว่าบ้านนอกเข้ากรุง บางคนบอกว่าเชยไม่เป็นสากล
หากมองอย่างเป็นธรรมถือว่านายเศรษฐา มีความกล้าหาญที่ใช้ตัวเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อโฆษณาสินค้าไทย ที่คนไทยทั้งประเทศใช้สอยมายาวนาน แต่ที่ผ่านมาด้วยนิสัยคนไทยนิยมชมชอบเดินตามแฟชั่นพวกฝรั่งนิยมสินค้าแบรนด์ดังที่ผลิตโดยพวกฝรั่ง ถ้าใครสวมเสื้อผ้ายี่ห้อดัง ราคาแค่หลักพัน หรือราคาหลักหมื่น จะเป็นที่ชื่นชมของพรรคพวกเพื่อนฝูง
แต่ถ้าใครสวมผ้าไทยหรือผ้าขาวม้าจะถูกมองว่าบ้านนอก พวกชายขอบ ล้าหลัง ไม่ทันสมัย ยิ่งสวมใส่แล้วเดินตามเมืองใหญ่ๆจะถูกเหน็บว่าพวกบ้านนอกเข้ากรุง ที่สำคัญนิสัยคนไทยจะเป็นประเภทขี้อาย ไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไรหรือจะแสดงอะไรที่แหวกแนวหรือแหกกฎ จากที่คนทั่วไปทำ
จากพฤติกรรมดังกล่าวบวกกับเดินตามก้นฝรั่ง ส่งผลให้สินค้าที่คนไทยผลิตมากับมือ กลายเป็นของไร้ค่า ไม่กล้าที่จะใส่โชว์หรือผลิตเสื้อผ้าส่งออกขายต่างประเทศ ทำให้ชาวบ้านหรือผู้ผลิตผ้าไทยไม่กล้าที่จะผลิตเป็นจำนวนมาก เพราะลูกค้าอยู่ในวงจำกัดเฉพาะพื้นที่
ดังนั้นเมื่อ นายเศรษฐา นำร่องกล้าที่จะนำผ้าไทยหรือผ้าขาวม้า ใส่โชว์บนเวทีโลกหรือสวมใส่เข้าหารือกับผู้นำประเทศ จะถูกพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้ดีหรือพวกอนุรักษ์นิยมที่ไม่ชื่นชอบรัฐบาล นำไปวิพากษ์วิจารณ์เชิงเหน็บแนมว่า เป็นผู้นำที่แต่งกายไม่ถูกกาลเทศะใช้ผ้าขาวม้าพันคอ แทนที่จะใช้ผ้าพันคอที่ตัดเย็บมาอย่างดี หรือบางกลุ่มเหน็บว่าแต่งตัวเชยเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง ทั้งที่สิ่งที่นายเศรษฐา กระทำคนไทยทั่วประเทศควรยินดีมากกว่าตำหนิหรือเหน็บแนม เพราะกล้าที่จะใช้ผ้าไทยสวมใส่ให้ชาวโลกได้รู้จักผลิตภัณฑ์ของไทยหรือสินค้าที่ถูกซ่อนอยู่ในซอกเหลือบถูกด้อยค่าด้วยคำว่าบ้านนอก ไม่ทันสมัย เป็นพวกบ้านๆ มาเป็นเวลานาน ให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก แบบที่ผู้นำในอดีตของไทยไม่เคยมีใครกล้าที่จะแหกกฎสวมผ้าไทยบนเวทีโลก
ผลพวงจากการสวมบทนายแบบโฆษณาผ้าไทยและผ้าขาวม้า ทำให้ประชาชนคนไทยต่างหันมาให้ความสนใจที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าไทยและผ้าขาวมากขึ้น และถ้าบริษัทผลิตเสื้อผ้ายี่ห้องสนใจที่จะใช้ผ้าไทยหรือผ้าขาวม้าเป็นวัตถุดิบในการตัดเย็บตามที่นายเศรษฐานำเสนอ จะเท่ากับเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและเพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิตได้เป็นอย่างดี ซึ่งบทบาทนี้น่าจะถือว่าเป็นบทบาทเดียวที่ นายเศรษฐาแสดงภาวะผู้นำได้ดีที่สุด นับแต่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาเกือบ 10 เดือนก็ว่าได้ !!!