นายกรัฐมนตรีไทยแสดงความเสียใจต่อการจากไปของประธานาธิบดีอิหร่านและคณะผ่านบัญชี X ขณะที่สื่อต่างชาติชั้นนำรายงานข่าวด่วนยืนยันการเสียชีวิตของผู้นำอิหร่านและรมว.ต่างประเทศจากเหตุการเฮลิคอปเตอร์ตกใกล้ชายแดนอิหร่าน-อาเซอรืไบจันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผานมา
ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 20 พ.ค. จากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ซึ่งมีนายอับราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีอิหร่าน และนายฮอตเซน อามีร์-อับดุลลาฮีน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตัว โดยสารอยู่ได้เกิดอุบัติเหตุตกขณะที่กำลังเดินทางกลับมาจากพิธีเปิดเขื่อนณบริเวณพรมแดนอิหร่านกับประเทศอาเซอร์ไบจัน เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ 19 ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น
ล่าสุดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรํฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความเสียใจผ่านสื่อสังคม X ชื่อบัญชี Srettha Thavisin ระบุว่า “It is with great sorrow that I learn of the tragic passing of HE. Dr. Ebrahim Raisi, President of the Islamic Republic of Iran and his delegation. My thoughts and deepest condolences go to his family and the people of Iran during this difficult time.” ซึ่งแปลว่า “เป็นความโศกเศร้าอันใหญ่หลวงที่ข้าพเจ้าได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตของ ฯพณฯ ดร.อิบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน พร้อมกับคณะ ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครอบครัวและประชาชนชาวอิหร่านในห้วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้”
ทั้งนี้สื่อต่างประเทศชั้นนำหลายแห่ง ได้รายงานข่าวด่วนโดยอ้างภาพฟุตเทจจากโดรนขององค์กร The Red Crescent ซึ่งเป็นองค์กรเครือข่ายสภากาชาดสากลของอิหร่าน ระบุว่านักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดทั้งสองคนพร้อมคณะได้เสียชีวิตแล้วเนื่องจากไม่พบสัญญาณของผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว
โดยภาพฟุตเทจจากโดรนซึ่งเผยแพร่ทางสื่อของรัฐบาลอิหร่านแสดงให้เห็นถึงจุดที่เครื่องบินตกซึ่งเป็นภูเขาสูงชัน แต่พบซากชิ้นส่วนเฮลิคอปเตอร์เพียงช่วงท้ายถึงหางเท่านั้น
สำหรับนายไรซีถือเป็นผู้นำสายเหยี่ยว แนวคิดอนุรักษ์นิยมขวาจัด ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเมื่อปี 2564 เมื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งแล้วเขาได้บังคับใช้กฎหมายทางศีลธรรมอย่างเข้มงวด และได้ทำการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลอย่างหนัก รวมทั้งได้พยายามเจรจาเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์กับประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย
ล่าสุดหลังจากกลุ่มฮามาสซึ่งมีอิหร่านให้การสนับสนุนทำการโจมตีอิสราเอลบริเวณใกล้ฉนวนกาซ่าตั้งแต่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว ทำให้อิสราเอลเอาคืนด้วยการใช้อาวุธหนักรวมทั้งระเบิดมิสไซล์ยิงถล่มเข้าไปในจุดต่างๆของฉนวนกาซ่าเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากรวมทั้งพลเรือนและผู้บริสุทธิ์ ก่อนที่จะมีการโจมตีโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ทำให้ประชาคมโลกวิตกกังวลว่าสถานการณ์อาจบานปลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามการเสียชีวิตของผู้นำอิหร่านครั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านเดินไปในทิศทางใด