กรมส่งเสริมการเกษตรสั่งการเกษตรจังหวัดเร่งลงพื้นที่สำรวจ ให้คำแนะนำ และประสานความช่วยเหลือเบื้องต้น พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเค็มรุกล้ำคลองประเวศบุรีรมย์ และพายุฤดูร้อน
นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ตามที่ทำนบดินบริเวณจุดก่อสร้างสถานีสูบน้ำท่าถั่ว ประตูน้ำท่าถั่ว ต.บางกรูด อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ทรุดตัวเนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูง เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 เม.ย. ทำให้น้ำเค็มในแม่น้ำบางปะกงไหลเข้าปะปนกับน้ำจืดในคลองประเวศบุรีรมย์และคลองสาขา อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทำการเกษตรของจ.ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ โดยกรมชลประทานได้เร่งแก้ไขปัญหา โดยจัดตั้งศูนย์บัญชาการเผชิญเหตุการณ์ ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์เจ้าไชยานุชิต อ.เมืองฉะเชิงเทรา และในส่วนของกรมส่งเสริมการเกษตรได้มอบหมายให้เกษตรจ.ฉะเชิงเทรา และเกษตรจ.สมุทรปราการเร่งสำรวจพื้นที่เพาะปลูกที่อาจจะได้รับผลกระทบ พร้อมให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น และประสานความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับรายงานจากเกษตร จ.ฉะเชิงเทราว่า มีพื้นที่ 3 อำเภอ ได้รับผลกระทบ คือ อ.บ้านโพธิ์ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 5 ตำบล เกษตรกรได้รับผลกระทบ 1 ราย พื้นที่ 3 ไร่ ชนิดพืชสวนผสม อ.เมืองฯ พื้นที่ได้รับผลกระทบ 6 ตำบล เกษตรกรได้รับผลกระทบ 11 ราย พื้นที่รวมประมาณ 2 ไร่ 3 งาน ชนิดพืชผัก และอ.บางปะกง มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล เกษตรกรได้รับผลกระทบ 6 ราย พื้นที่รวมประมาณ 2 ไร่ ชนิดพืชผัก และไม้ประดับ ในขณะที่เกษตรจ.สมุทรปราการรายงานว่า ผลการสำรวจความเสียหายเบื้องต้น ทางด้านพืชยังไม่ส่งผลเสียหายต่อพืชโดยตรง เนื่องจากเกษตรกรปลูกไม้ผล ได้แก่ มะม่วง มะพร้าว และกล้วย ตามคันบ่อเลี้ยงปลา
นายครองศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งได้รับรายงานจากเกษตรจ.เชียงใหม่ว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 2 อำเภอ คือ อ.ฝาง มีพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบจากเหตุวาตภัยและลูกเห็บ 2 ตำบล 5 หมู่บ้าน พื้นที่ประมาณ 216 ไร่ ชนิดพืชข้าว ไม้ผลไม้ยืนต้น และพืชผัก เกษตรกรได้รับผลกระทบ 29 ราย และอ.แม่อาย มีพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 1 ตำบล 1 หมู่บ้าน พื้นที่ประมาณ 400 ไร่ ชนิดพืชไม้ผลไม้ยืนต้น และเกษตรกรได้รับผลกระทบ 10 ราย
“ กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำชับให้เกษตรจังหวัดทุกจังหวัดเฝ้าระวังผลกระทบจากภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง พร้อมรายงานให้กรมส่งเสริมการเกษตรทราบทันที เพื่อจะได้สั่งการ และประสานงานแก้ไขปัญหาทั้งในระดับส่วนกลาง และระดับพื้นที่ให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรต่อไป สำหรับเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านพืช ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ เกษตรกรที่จะได้รับความช่วยเหลือ ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร และปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนเกิดภัย พื้นที่เป็นพื้นที่เสียหายจริง อยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือฯ โดยจะช่วยเหลือไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ ในอัตรา ข้าว 1,340 บาทต่อไร่ พืชไร่ละพืชผัก 1,980 บาทต่อไร่ และไม้ผลไม้ยืนต้นและอื่น ๆ 4,048 บาทต่อไร่”รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าว