ใช้แสงไฟไล่/ล่อผีเสื้อกลางคืนกันหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน

244

กรมส่งเสริมการเกษตรขยายผลการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน ใช้แสงไฟไล่และล่อแมลงผีเสื้อกลางคืนในจ.ยะลา เชื่อสามารถลดการระบาดหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนได้ พร้อมชูเกษตรกร อ.บันนังสตา ต้นแบบการจัดการหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนโดยวิธีผสมผสาน เผยปีที่ผ่านมาดำเนินการขยายผลทั้งจังหวัด

นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจ.ยะลา โดยในปี 66 มีพื้นที่ปลูก 96,234 ไร่ ผลผลิตออกสู่ตลาด 89,661 ตันมูลค่ารวมกว่า 6,600 ล้านบาท มูลค่าการส่งออกร้อยละ 54 และในปี 67 พบมีพื้นที่ปลูก 105,400 ไร่และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปี ในปีที่ผ่านมาทุเรียนยะลาถูกตรวจพบการระบาดของหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ทำให้ผู้ส่งออกถูกตีกลับสินค้าส่งผลให้ทุเรียนจ.ยะลาราคาตกต่ำ ทำให้เกษตรกรเสียโอกาสที่จะสร้างรายได้จากการจำหน่ายทุเรียน กรมส่งเสริมการเกษตร โดยสำนักงานเกษตรจ.ยะลา จึงดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับทุเรียนยะลาให้เป็นที่ยอมรับ จัดทำแปลงต้นแบบการใช้แสงไฟไล่และล่อแมลงในสวนทุเรียน ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ ของจ.ยะลา รวม 377 แปลง และปี 67 ได้ขยายผลแปรงต้นแบบเพิ่มในพื้นที่กลุ่มจังหวัดชายแดนใต้ซึ่งปลูกทุเรียน


นายรพีทัศน์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้การป้องกันหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนเห็นผลเป็นรูปธรรม เกษตรกรในพื้นที่เกิดการขยายผลการใช้แสงไฟสีขาวและสีเหลืองส้มไล่แมลงผีเสื้อกลางคืน และใช้ไฟสีม่วงล่อแมลงผีเสื้อกลางคืนไม่ให้วางไข่ที่ผลทุเรียน เนื่องจากผีเสื้อกลางคืนมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดวางไข่และสร้างความเสียหายต่อผลผลิตทุเรียนแต่ละระยะต่างกัน เช่น หนอนกินดอก หนอนเจาะผล หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผีเสื้อหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนนั้น เมื่อระบาดจะสร้างความเสียหายกับผลผลิตทุเรียนและภาพลักษณ์ของทุเรียนทำให้ทุเรียนยะลาไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคและผู้ส่งออก สำนักงานเกษตรจ.ยะลาจึงจัดกิจกรรม “แสงแรกแห่งฤดูทุเรียนยะลา ปี 2567” ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา ซึ่งมีการใช้แสงไฟจัดการกับหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนมาตั้งแต่ปี 58



ด้านนายอุทัย หงส์เพชร เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในอ.บันนังสตา กล่าวว่า ตนเป็นเกษตรกรต้นแบบที่ได้ริเริ่มการใช้แสงไฟจัดการกับหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของชาวสวนทุเรียน โดยทุกปีจะมีผลผลิตเสียหายจากการถูกหนอนเจาะหรือที่เรียกกันว่าทุเรียนรู ร้อยละ 15-20 ของผลผลิตที่ได้ เกษตรกรจะต้องทิ้งหรือจำหน่ายทุเรียนในราคาต่ำทำให้สูญเสียรายได้ จึงพยายามป้องกันปัญหาโดยการฉีดพ่นยาและสารเคมี แต่ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามแผน ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและเกษตรกรเองก็ไม่ปลอดภัย ประกอบกับพื้นที่ปลูกทุเรียนเป็นพื้นที่สูงบนภูเขา ต้นทุเรียนอายุมาก ลำต้นสูง จัดการยาก ที่สำคัญสวนทุเรียนตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำของชุมชนไม่สามารถใช้สารเคมีได้



“สังเกตว่าต้นทุเรียนที่อยู่ใกล้เสาไฟฟ้าริมถนน ผลผลิตเสียหายจากหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนน้อยมาก จึงคิดว่าแสงไฟน่าจะมีผลต่อหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน ซึ่งแม่ของหนอนเจาะเมล็ดทุเรียน คือ ผีเสื้อกลางคืน ที่จะบินจากพื้นดินขึ้นไปวางไข่ที่ผลทุเรียนตอนกลางคืน ดังนั้น เมื่อต้นทุเรียนอยู่ที่สว่าง การวางไข่จึงน้อยกว่าสวนที่อยู่ในที่มืด จากข้อสันนิษฐานดังกล่าวจึงได้เริ่มทดลองติดหลอดไฟที่ต้นทุเรียนตั้งแต่ปี 58 พบปัญหาทุเรียนรูลดลงจึงเพิ่มพื้นที่ใช้แสงไปในสวนทุเรียนทั้งหมด 15 ไร่ ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงหันมาใช้แสงไฟไล่ผีเสื้อกลางคืนเพิ่มขึ้น ประมาณ 500 ไร่ เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนโดยวิธีการใช้แสงไฟ ในพื้นที่ 15 ไร่ พบมีค่าใช้จ่ายเพียง12,000 บาทต่อปี แต่หากใช้การฉีดพ่นสารเคมีจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 125,000 บาทต่อปี” นายอุทัย กล่าว



สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดไฟคือเริ่มมืดไปจนถึงเริ่มมีแสงสว่างของวันใหม่ ประมาณ 18.00 – 06.00 น. และต้องคำนึงถึงระยะการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยเกษตรกรต้องเปิดไฟตั้งแต่ช่วงผลเล็ก แต่เกษตรกรในอ.บันนังสตาส่วนใหญ่เริ่มเปิดไฟตั้งแต่ช่วงดอกระยะมะเขือพวงเพื่อป้องกันหนอนเจาะดอกด้วย และเปิดไปจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต นอกจากนี้ การใช้แสงไฟให้ได้ผลดีต้องคำนึงถึงความทั่วถึงของแสง เพราะหากมีพื้นที่ที่แสงสว่างไปไม่ถึงและบริเวณที่มีเงาจากทรงพุ่มหรือเงาจากสิ่งอื่น ๆ บังแสง ผลผลิตก็จะเสียหาย สำหรับหลอดไฟที่เกษตรกรใช้ไล่แมลงผีเสื้อกลางคืนจะใช้หลอดไส้ แสงสีขาวหรือแสงสีเหลืองส้ม ซึ่งประสิทธิภาพในการป้องกันไม่แตกต่างกัน

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์