ตำนาน…ปลัดขิก

702

หนึ่งในเครื่องรางหน้าตาจั๊กจี้แต่มีอานุภาพตามแต่เกจิอาจารย์ประสิทธ์ ปลัดที่ไม่ใช่คนแต่ดิ้นได้ อ่านสนุกแบบมีทั้งศรัทธาและพาณิชย์ไปกับ คอลัมน์พระบ้าน by ต้นคนชอบพระ

( รูปพระศิวะ )

ตั้งจิตพร้อมว่า นะโมฯ 3 จบ จากนั้นว่าอักขระคาถา

กัณหะเนหะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะเฮ นะฮา ปะสกที่มา สีกาที่นั่ง หัวเราะให้ดัง อุ อุชิกตะขัก หญิงเห็นหญิงรัก ชายเห็นชายทัก คนรักทั้งเมือง พาณิชพาไป ค้าขาย 3 เดือน ได้เลื่อนเป็นเศรษฐี อุชิกตะขัก อุชิกตะขัก อุชิกตะขัก ฤ ฤา ฤ ฤา ฤ ฤา นิมามานิมามา นะชาลีติ สัมปะติจฉามิ

“คาถาบูชาปลัดขิกหลวงพ่อยิด” โดย อ.ราม วัชรประดิษฐ์

อันว่าปลัดนั้นเป็นผู้ช่วยนายอำเภอ ส่วนเธอเป็นผู้ช่วยหัวใจ อ่ะไม่ใช่ แหะๆ เรื่องราวของเราในวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องรางที่จัดว่าเป็นหนึ่งในเครื่องรางยอดนิยม อย่างเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน หนุมานหลวงพ่อสุ่น ลิงไม้รักหลวงพ่อดิ่ง มีดหมอหลวงพ่อเดิมและขอเพิ่มปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ อีกอัน ซึ่งก็จะเป็นหัวข้อที่เราจะมาว่ากันในวันนี้ครับ

( รูปศิวลึงค์ )

ชื่อ. ปลัดขิก นั้นที่มาที่ไปจริงๆไม่มีใครกล้าฟันธงว่าเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น คำว่า ปลัด หมายถึง ตำแหน่งเป็นรอง จากตำแหน่งที่เหนือกว่า หรืออีกการสันนิษฐานว่าพ้องเสียงมาจากคำว่า ปราศวะ ในภาษาสันสกฤต แปลว่า เคียงข้าง ส่วนคำว่า ขิก เดาเอาว่าอาจจะมาจากการที่ผู้บูชาปลัดขิกนิยมแขวนไว้ที่เอวและหากเป็นเด็กมักจะแขวนไว้ที่คอ เมื่อมีผู้พบเห็นแล้วมักจะเกิดเสียงหัวเราะ เสียง คิกๆคักๆ จนเพี้ยนมาเป็น ปลัดขิก ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งก็เชื่อกันว่า ประมาณ 2000 ปีก่อน ชาวฮินดูที่นับถือพระศิวะ ได้บูชาแท่งหินแกะสลักคล้าย อวัยวะเพศชาย เรียกว่า ศิวลึงค์ โดยถือเป็นตัวแทนของพระศิวะจุดเริ่มต้นการบูชาปลัดขิกนั้น มาจากการบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งได้มีการสร้างเสาหินที่ผสมผสานระหว่างรูปร่างของพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าด้วยกัน ดูผ่านๆจะคล้ายกับอวัยวะเพศชาย เลยเรียกว่า ลึงค์ พอเอามาบูชาพระศิวะกับพระอุมา จึงเรียกว่าศิวลึงค์ ต่อมาได้สร้างให้มีขนาดเล็กลงเพื่อความสะดวกในการพกพาอุปมาว่ามีพระศิวะติดตัวอยู่เสมอเหมือนเราห้อยพระเครื่องนั่นแหละ

ส่วนอีกตำนาน ก็บอกว่าเกิดจากบรรดาเทพและมนุษย์ร่วมกันสร้างเพื่อบูชาพระศิวะ แต่การจะสร้างพระศิวะเพื่อ บูชานั้นอาจดูว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเกินไป จึงได้สร้างศิวะลึงค์ขึ้นบูชาซึ่งสื่อถึงความเป็นบุรุษเพศ ของพระศิวะ

ส่วนตำนานนี้มีติดเรทเล็กน้อย โดยตำนานนี้เล่าว่า วันหนึ่งพระศิวะร่วมเสพสังวาสกับพระอุมาในท้องพระโรง (ห๊ะ! ตอนเขียนคนเขียนตำนานถ้าไม่เมากัญชาก็คงดูหนังโป๊มากไปมั้งเนี่ย ) ทำให้บรรดาเหล่าเทพที่มาเข้าเฝ้าเห็นเข้า และแสดงความไม่นับถือต่อพระศิวะ ด้วยเหตุนี้พระศิวะจึงบันดาลโทสะ และ ประกาศในท้องพระโรงนั้นว่า อวัยวะของพระองค์นี่แหละจักปกป้องคุ้มครองแก่ผู้เคารพบูชา หากเทพ หรือ มนุษย์ผู้ต้องการประสบความสำเร็จและความสุขในชีวิต ต้องเคารพบูชาอวัยวะอันเป็นตัวแทนเพศชายของพระองค์ ( ใช่เหรอออ ตำนานนี้ )

และ มีบางตำนานกล่าวว่า วันหนึ่งเกิดโรคระบาดจนมีผู้คนล้มตายลงเป็นอันมากซึ่งเชื่อว่าเกิดจากพระแม่อุมา อัครมเหสีของพระศิวะเกิดบันดาลโทสะโดยไม่ทราบสาเหตุ เหล่าพราหมณ์จึงแก้ด้วยการทำสิ่งบูชาคล้าย อวัยวะเพศชายเพื่อเป็นตัวแทนพระอิศวรและทำให้โรคระบาดหายไปในที่สุด ( นี่ก็อีกตำนานที่มันแหม่งๆ )

แต่ตำนานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือตำนานเกี่ยวกับการบูชา ตรีมูรติ มีการบูชาเทพผู้เป็นใหญ่ทั้งสามซึ่งประกอบไปด้วย พระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ และเทพทั้งสามได้มาปรากฏกายให้ผู้บูชาได้ชื่นชมพระบารมี โดยพระพรหม ปรากฏเป็น สี่หน้า สี่กร พระวิษณุ เป็นเทพธรรมดา ส่วนพระศิวะปรากฏให้เห็นเฉพาะส่วนที่แสดงให้เห็นว่า เป็นเพศชาย นับแต่นั้นจึงได้มีการสร้างสิ่งเคารพอันเป็นตัวแทนที่แสดงถึงเทพทั้งสามตามที่ปรากฏให้เห็น

( รูปปลัดขิกนำนักต่างๆ )

ส่วนในไทยแลนด์แดนสยามของเราไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเริ่มมีการนำปลัดขิกมาบูชาแทนศิวลึงค์ในสมัยใด และมีความแแตกต่างจากศิวลึงค์ของชาวฮินดู เนื่องจาก ปลัดขิกที่คนไทยเรานำมาบูชานั้น ส่วนใหญ่จะทำขึ้นจากผู้มีวิชาความรู้ด้านไสยศาสตร์อันเป็นผู้เข้มขลังทางจิตและทำการปลุกเสกเพื่อใช้เป็น เครื่องรางของขลัง โดยในสมัยโบราณคนไทยนิยมห้อยปลัดขิกไว้กับเอวหรือห้อยคอสำหรับเด็กผู้ชาย เพราะมีความเชื่อว่าหากมีปลัดขิกติดตัวจะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆได้ บางคนก็นำมาบูชา กับร้านค้าเพราะเชื่อว่าจะทำให้ค้าขายมีกำไรมีคนอุดหนุนกิจการมากขึ้น

โดย ปลัดขิก ที่โด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในประเทศเราอันเป็นที่เดียวในโลก จนน่าผลักดันให้มันเป็นซอฟเพาว์เวอร์ ( คริๆ ) ก็มี ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ปลัดขิกหลวงพ่อซ่วน วัดท่าลาด ปลัดขิกหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก และอีกหลายสำนัก ซึ่งปลัดขิกของเกจิแต่ละท่านที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่มีพุทธคุณ อิทธิฤทธิ์ แตกต่างกันไปตามแต่ละสำนักจะได้รับสืบสายจากครูบาอาจารย์แต่มีอยู่สำนักนึงที่ผู้เขียนร่วมสมัยและยังมีหลักฐานเป็นคลิปวิดิโอในสื่อออนไลน์ให้ได้ดูกันเป็นบุญตา สำนักนั้นคือ หลวงพ่อยิด แห่งวัดหนองจอก หลวงพ่อยิดท่านมีนามเดิมว่า ยิด ศรีดอกบวบ เกิดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2476 บิดา ชื่อนายแก้ว มารดา ชื่อ นางพร้อย ศรีดอกบวบ อายุ 9 ขวบ บรรพชาที่วัดบ้านเกิด และได้ฝึกปฏิบัติสมาธิ ศึกษาอักขระเลขยันต์ พระธรรมวินัย จนกระทั่งอายุ 14 ปี ได้ลาสิกขาออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ อายุ 20 ปี เข้าสู่ร่มกาวสาวพัตร์ ในพิธีอุปสมบท มีหลวงปู่อินทร์ วัดยาง เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการหวล เป็นพระอนุสาวนาจารย์และได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ทองศุข วัดโตนดหลวง เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม และยังได้ ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ในหลายพื้นที่ ทั่วประเทศและประเทศใกล้เคียง กระทั่งปี พ.ศ.2487 บิดาล้มป่วย จึงเดินทางกลับมา และลาสิกขาออกมาดูแลบิดา และได้แต่งงานมีครอบครัว จนเมื่อท้ายที่สุด เมื่อบิดาและมารดาถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2518 จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทอีกครั้ง ที่วัดเกาะหลัก มีเจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ และอยู่จำพรรษาเป็นพระลูกวัดที่วัดทุ่งน้อย อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

ต่อมาชาวบ้านหนองจอก ต.ดอนยายหนู ได้ยกที่ดินให้จำนวน 21 ไร่ 2 งาน เป็นพื้นที่ป่า เพื่อให้หลวงพ่อยิดสร้างวัดหนองจอกขึ้น หลวงพ่อยิดท่านได้รับความศรัทธาจากหมู่ชนจำนวนมาก โดยส่วนมากจะมาขอรับวัตถุมงคล อาทิ ตะกรุด พระเครื่อง ปลัดขิก เชื่อกันว่า วัตถุมงคลของ ท่านมีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน ใช้แล้วได้ผล ใน 1 ปี หลวงพ่อยิดจะสรงน้ำปีละครั้งเท่านั้น โดยอนุญาตให้ญาติโยมที่ เลื่อมใสศรัทธาใช้แปรงทองเหลืองที่ใช้ขัดเหล็ก ขัดตามตัว แขนขาของท่าน แต่แปรง ทองเหลืองไม่ได้ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย หลังจากขัดตัวให้ท่านแล้วเสร็จ หลวงพ่อยิด จะมอบวัตถุมงคลให้นำไปบูชากันอย่างทั่วถึง สำหรับปัจจัยที่ได้รับจะนำไปสมทบทุนการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนา สังคมและชุมชน จน กลายเป็นประเพณีถือปฏิบัติของหลวงพ่อยิด

( รูปหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก )

หลวงพ่อยิด ปัจจุบันท่านละสังขารไปแล้วโดยท่านมรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2538 สิริอายุ 71 ปี พรรษา 30

แต่ตำนานปลัดขิกอันเป็นวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางที่โด่งดังที่สุดของท่านยังคงอยู่และได้ถูกสืบทอดผ่านญาติผู้น้องของท่านอย่าง หลวงปู่นนท์ แห่งวัดเขาพรานธูป ที่มีข่าวโด่งดังในสื่อออนไลน์อย่างก้วางขวาง เนื่องจากมีคนนำคลิปตอนท่านเสกปลัดขิกและปลัดขิกที่ท่านเสกดิ้นได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ มาลง จากแต่ก่อนหลวงปู่และวัดเขาพรานธูปเป็นที่รู้จักกันในวงแคบๆก็กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ

( รูปหลวงปู่นน สำนักสงฆ์เขาพรานธูป )

หลวงปู่นน ท่านเป็นน้องชายแท้ๆ ของหลวงพ่อยิด แห่งวัดหนองจอก อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้ได้ฉายาว่าปลุกเสกปลัดขิกจนดิ้นได้

หลวงปู่นน จนฺทวิโร ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนที่มาถึงที่นี่นั้น สำนักสงฆ์แห่งนี้ปลูกเป็นเพิงหมาแหงน พอหลบแดดหลบฝนได้เท่านั้น คล้ายกับกระท่อมที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้ชั่วคราวสำหรับไว้พักตอนที่มาทำสวนทำไร่ ส่วนเครื่องใช้อื่นๆ มีก็เหมือนไม่มี ใช้ได้แต่ไม่สมบูรณ์ ตอนที่มาอยู่สำนักสงฆ์แห่งนี้แรกๆ มีเพียงแค่ย่ามกับบาตรเท่านั้น เมื่อตอนที่ ผู้ใหญ่บ้านกับคนในพื้นที่ ไปนิมนต์มาอยู่ตอนแรกตั้งใจมาพักภาวนาไม่กี่วันก็จะไป แต่ระหว่างภาวนานั้นเกิดนิมิตว่า มีโบสถ์ มีศาลา มีกุฏิอยู่อย่างสมบูรณ์ จากนิมิตเลยตั้งใจอยู่ต่อเพื่อสร้างเป็นวัด เริ่มจากพิมพ์ซองบอกบุญ 1,000 ใบ แจกชาวบ้านแจกไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีการออกให้เช่าบูชาวัตถุมงคลใดๆ บรรดาลูกศิษย์รู้ข่าวก็มาช่วยกันคนละเล็กคนละน้อยตามกำลังศรัทธา มีน้อยสร้างน้อย มีมากสร้างมาก สร้างไปสร้างมาสุดท้ายเกือบจะสมบูรณ์กลายเป็นวัดในระยะเวลา 6 ปี ส่วนที่มาของชื่อเขาพรานธูป ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับสำนักสงฆ์นั้น ในอดีตพื้นที่นี้อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่านานาชนิด มีนายพรานมาล่าสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก พอได้แล้วก็จะบรรทุกเกวียนออกไป แต่ทุกครั้งที่ผ่านช่วงเขาบริเวณนี้ ธูปซึ่งเป็นส่วนประกอบของเกวียน มีอันจะต้องหลุดต้องหัก ทุกครั้ง พรานต้องขึ้นไปตัดไม้จากบนเขาแห่งนี้มาทำธูปอันเป็นส่วนประกอบของเกวียนเกือบทุกครั้ง บ่อยครั้งเข้าจึงเรียกว่า “เขาพรานธูป” แต่ไม่ใช่ธูปเทียนที่บูชาพระนิ

หลวงปู่นน ท่านอยู่จำพรรษา จนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2558 พระราชภัทรญานฯ มอบตราตั้งฐานานุกรมและพัดยศเป็น “พระครูสังฆรักษ์” ให้แก่หลวงปูนน จนฺทวิโร เจ้าสำนักสงฆ์เขาพรานธูป ให้เป็น “พระครูสังฆรักษ์นน จนฺทวิ โร” โดยมีพิธีมอบขึ้นภายในอุโบสถของสำนักสงฆ์เขาพรานธูป

จริงๆก่อนที่จะมีคนเอาคลิปการปลุกปลัดขิกจนดิ้นได้ของหลวงปู่นน มาลงในยูทูป หลวงปู่นน ได้รับการยอมรับจากบรรดาลูกศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาก่อนหน้านั้นว่า “หลวงปู่นนสามารถเสกปลัดขิกดิ้นได้เช่นเดียวกับหลวงพ่อยิด” ทำให้ท่านได้รับกิจนิมนต์ร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลจากหลากหลายวัดข้ามปี และยิ่งถ้าเป็นงานปลุกเสกวัตถุมงคลของวัดไตรมิตรวิทยาราม กทม. ทุกรุ่น จะต้องมีชื่อหลวงปู่ท่านด้วยเสมอหลวงปู่นน ท่านได้รับความเคารพนับถือจาก ลูกศิษย์ลูกหา มีผู้คนเข้าไปกราบท่านไม่ขาดสาย ผู้คนต่างได้รับประสบการณ์ดีๆ ที่เกิด จากท่าน และพระเครื่องวัตถุมงคลของท่าน อีกทั้งความที่นิยมยังแผ่ไกลไป ถึงต่างประเทศ

( รูปปลัดขิกหลวงปู่นน สำนักสงฆ์เขาพรานธูป )

ปลัดขิกของหลวงปู่นนนั้น มีคุณวิเศษโดดเด่นทางด้าน ค้าขาย เมตตามหานิยม โชคลาภ แต่ด้านอื่นๆก็มีครบเครื่อง เพียงแต่คนที่เคยเช่าบูชาไปได้สัมผัสประสบการณ์ด้านที่กล่าวมาแล้วมากกว่า วัตถุมงคลของหลวงปู่นน แห่งสำนักสงฆ์เขาพรานธูป นอกจากปลัดขิกดิ้นได้ที่มีหลากหลายแล้วยังมี เหรียญ รูปหล่อ พระผง รูปถ่าย ของหลวงปู่ ให้เลือกเช่าบูชาได้ตามกำลังศรัทธาแถมราคายังจับต้องได้ มีไว้ใช้ก็ดีแถมมีอนาคตแน่นอนครับ

คราวหน้ามาลุ้นกัน ว่าจะนำเสนอองค์ไหนหรือตำนานอะไรครับ

เขียนโดย

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก สื่อโซเซี่ยล ครับ
ปล. หากมีวัด ศาสนถาน โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯใดที่ต้องการประชาสัมพันธ์การขายวัตถุมงคลหรือบริจาคเพื่อการกุศลอย่างแท้จริง ทางคอลัม์พระบ้าน ยินดีประชาสัมพันธ์ให้ฟรีครับ สนใจลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ ติดต่อ 0818214442 ต้น

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #ตำนานปลัดขิก