ภาคต่อของตำนานกามเทพ มารคือกามเทพ กามเทพคือมาร ใช่แน่เหรอ อยากรู้ต้องลองอ่านดู อ่านสนุกแบบมีทั้งศรัทธาและพาณิชย์ไปกับ คอลัมน์พระบ้าน by ต้นคนชอบพระ
” คนทั้งหลายในโลกย่อมเรียกกามเทพ ผู้มีอาวุธอันวิจิตร งดงาม ผู้มีดอกไม้เป็นศร ผู้เป็นเจ้าในเรื่องความรัก และผู้เป็นศัตรูแห่งความหลุดพ้นว่า พญามาร “
(มหากาพย์พุทธจริต สรรคที่ 13.2)
จากตำนานเซนต์วาเลนไทน์ต้นกำเนิดเทศกาลวันแห่งการส่งดอกไม้และให้ช็อคโกแลตจนถึงบททดสอบอันแสนทรหดระหส่างคิวปิดและไซคีทำให้สงสัยขึ้นมาว่าแล้วทางฝั่งตะวันออกของเราล่ะ จะมีเทพหรือตำนานอะไรที่ส่งผลในเรื่องความรักของเราๆท่านๆกันบ้าง สุดท้ายเลยได้พบว่าแม้ไม่ถึงขั้นตำนานรักทรหดอย่างคิวปิดและไซคีแต่ก็มีเรื่องราวดีๆและน่าสนุก ถ้างั้นเราไปกันเลย
( รูปกามเทพฮินดู )
ตำนานกามเทพ (จีน,ฮินดู)
พระกามเทพ คือ “มาร” พอกล่าวถึงมาร ชาวไทยจะนึกถึง “มาร” ในแบบของยักษ์ หรืออสุรกายที่ดุร้าย อันมาจากคติในพุทธศาสนาที่เล่าว่า สมัยพุทธกาล พระยามารมาขวางเจ้าชายสิทธธัตถะ เพื่อขัดขวาง ไม่ให้ พระองค์สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้คนไทยมองว่า “มาร” คือ สิ่งชั่วร้าย อีกทั้งเป็นศัตรูของมนุษย์และเทพ เทวดา
แต่สำหรับผู้นับถือศาสนาฮินดูนั้นคำว่า “มาร” หมายถึง กามเทพ หรือเทพ แห่งความรัก ซึ่งตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูนั้น เชื่อว่า กามเทพนั้นมีหลายพระนาม และ หนึ่งในนั้นคือ “มาร” ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ผลาญ อีกทั้งในบทสรรเสริญพระกามเทพในคัมภีร์อาถรรพเวทมีการกล่าวว่า พระองค์คือพระอัคคี จึงทำให้เชื่อว่ากามเทพ กับ พระอัคคี คือองค์เดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีตำนานว่า กามเทพ เป็นโอรสพระยม กับนางศรัธทา ผู้เป็นชายา บ้างว่าเป็นลูกพระลักษมี บ้างว่าเกิดจากหัวใจแห่งพระพรหม จึงทำให้นามของพระองค์นั้นมีเยอะมาก
กามเทวะหรือคิวปิดในยุโรปมักจะมีรูปร่างเป็นเด็กจ่ำม้ำน่ารักถือคันศรคอยไล่ยิงคู่รัก แต่ในตำนานฝั่งพราหณ์ฮินดู พระกามเทพ จะเป็นชายหนุ่มรูปงามเป็นอธิบดีหรือผู้เป็นใหญ่ในหมู่อัปสร มีนกแก้ว เป็นพาหนะ และถือธงซึ่งมีลักษณะพื้นธงเป็นสีแดงมีลายมังกร อาวุธประจำกาย คือ ธนู ที่ทำจากต้นอ้อย มีสายเป็นตัวผึ้งร้อยต่อๆ กัน ส่วนลูกศรมีปลายเป็นดอกไม้ ( เอิ่ม ยิงทีคงจะหวานน่าดู ) ไม้หอม ๕ ชนิด มีสหายเป็นนกดุเหว่า นกแก้ว ผึ้ง ฤดูใบไม้ผลิ และสายลมเฉื่อย อันเป็นการสื่อถึงสัญลักษณ์ของฤดู ใบไม้ผลิ
กามเทพนั้น สมรสกับนางรตี ธิดาของ พระประสุติและพระทักษะ ส่วนสาเหตุที่กล่าวว่า “มาร” ที่แปลว่าผู้ผลาญ คือ กามเทพ นั้น มาจากเรื่องเล่า ในปุราณะว่า ตั้งแต่ พระสตี ได้สิ้นชีพไป พระอิศวร หรือพระศิวะ มีความเสียใจมาก จึงเสด็จเข้าฌานประพฤติพระองค์เป็น สันยาสี อันแปลว่า ผู้เที่ยวภิกขาจาร เลี้ยงชีพด้วยการขอเขากิน พระอิศวร ผู้เป็นสันยาสีนั้นตั้งจิตมุ่งสู่ปรพรหมและนฤพาน ( อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะใช่แบบเดียวกับนิพพานในทางพุทธไหม ) ซึ่งทวยเทพได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก สาเหตุจากอสูรตนหนึ่งนามว่า ตารกาสูร รู้ว่าองค์พระศิวะหรือพระอิศวรไม่สนใจจะมีคู่ครอง จึงไปขอพรจากพระพรหมว่าขอให้ไม่มีใคร เอาชนะตัวมันได้นอกจากบุตรของพระศิวะ เมื่อเวลาผ่านไปทวยเทพที่เดือดร้อนจากตารกาสูรจึงรวมตัวกันไปปรึกษาพระพรหม เพื่อหาคู่ครองให้พระศิวะ ซึ่งองค์พระพรหมก็ชี้ช่องว่าไม่นานพระแม่จะมากำเนิดใหม่
ต่อมาพระแม่สตีได้มีกำเนิดใหม่เป็นบุตรีท้าวหิมาลัย ทรงนามว่า พระอุมาเหมเทวี หรือ บรรพตี เหล่าบรรดาเทวดาจึงคบคิดวางแผนจะให้พระอุมา มาเป็น พระมเหสีพระอิศวร ยังไงดี แล้วก็เกิดปิ๊งไอเดียได้ว่าเรื่องรักๆใคร่ๆแบบนี้ต้องใช้บริการพระกามเทพ ฝั่งพระกามเทพคงนึกในใจงานเข้าตูแล้วไง นั่นพระศิวะมหาเทพนะเห้ย แต่ก็ขัดเสียงส่วนใหญ่ของเหล่าเทพไม่ได้ กามเทพจึงสั่งให้ วสันต์ ผู้เป็นมิตรคู่ใจของตน เนรมิตดอกไม้ให้ผลิขึ้น เต็มไปหมด เพื่อสร้างบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์ และเชิญให้พระแม่อุมาไป อยู่ ณ ที่อันควร แล้วพระกามเทพจึงยิงพระอิศวรด้วย “บุษปศร” หรือศรที่ทำด้วยดอกไม้ ขณะที่พระองค์กำลังเข้าณานอยู่ พระอิศวรทรงตกพระทัยและพิโรธ จึง เปิดพระเนตรที่สามขึ้น แสงคอสมิกส่องต้ององค์กามเทพบันดาลให้เกิดเพลิงไหม้ร่างกามเทพสูญไป กามเทพ จึงได้พระนามอีกอย่างหนึ่งว่า อนังคะ (ไม่มีตัว) เรียกได้ว่าเป็นการยอมเสียชีวิตเพื่อให้ภารกิจลุล่วง เหล่าทวยเทพจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนจากการที่พระอิศวร และพระชายาไม่ได้ครองรักกัน เพื่อความรักของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ แม้ตนจะต้องสละชีวิตก็ตาม ( ซวยอยู่องค์เดียวเลยอ่ะ )
แต่ดีหน่อยที่ต่อมาพระอิศวรคลายความพิโรธลงและรู้ว่ากามเทพถูกใช้เป็นแนวหน้ากล้าตาย จึงโปรดให้กามเทพได้ เกิดใหม่เป็น พระประทยุมน์ ผู้เป็นโอรสของพระกฤษณาวตาร และได้ เป็นพระบิดาแห่งพระอนิรุทธ์ (อุณรุท) นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหากาพย์ มหาภารตะในภายหลัง ซึ่งก็พอจะอนุมานที่เรียกกามเทพว่า มาร หรือผู้ผลาญ นั้นจากตำนานจะพบว่าเพราะได้ขัดขวางการเข้าณาน ( มาร ) จนตัวเองถูกแสงจากตาที่สามมหาเทพผลาญร่างจนไม่เหลือซากนั่นเอง ( ผู้ผลาญ )
( รูปเย่เหล่าหรือผู้เฒ่าจันทรา )
มาทางฝั่งจีนกันบ้าง จีนเค้าก็มีกามเทพหรือเทพที่ดูและเรื่องความรักนะ “กามเทพจีน” มีชื่อว่า “เย่เซี่ยเหล่าเหริน” หรือ “เหว่ยแอ๊เหล่านั่ง” (月下老人) เรียกสั้นๆ ว่า “เย่เหล่า” ชาวแต้จิ๋วอาจรู้จักท่านในชื่อว่า “โง้ยเหลาแชกุน” (月老星君) แต่ชื่อยอดนิยมติดปากที่เรียกกันคือ “ผู้เฒ่าจันทรา” ครับ
รูปลักษณ์ของ “เย่เหล่า” นั้นท่านเป็นคนแก่ใจดี มีหนวดขาวยาวมาก มือนึงถือด้ายแดงและอีกมือนึงถือไม้เท้าแขวนสมุดพรหมลิขิตไว้ ตามความเชื่อของชาวจีน ท่านเป็นเทพที่ดลบันดาลในเรื่องความรักและการแต่งงาน ในบันทึกฝูเซิงลิ่วจี้ (浮生六記) ของเสิ่นซานไป (沈三白) อธิบายรูปลักษณ์ของเย่เหล่าไว้ว่า เป็นชายแก่ที่หน้ามีเลือดฝาด เหมือนเด็ก ผมขาวสวยเหมือนขนนกกระเรียน มือนึงถือด้ายแดง อีกมือนึงถือหนังสือบุพเพ และเดินทางได้เร็ว ประมาณ เดอะแฟลช ละมั้ง “เย่เหล่า” มีของวิเศษคือ “ด้ายแดง” ที่ว่ากันว่าเอาไว้ใช้ผูกคู่ผ้วตัวเมียที่จะได้เพราะบุพเพหรือบุพพังก็แล้วแต่ให้มาประสพพบเจอกัน
ภาษาจีนเลยมีสำนวนว่า “ห่างกันพันลี้แสนไกล บุพเพเชื่อมไว้ด้วยด้ายแดง” (千里姻緣一線牽)
ในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องจะเห็นเย่เหล่าจะนั่งอยู่บนก้อนหิน และถ้าท่านเอาด้ายแดงในถุงผ้าที่แบกไว้บนหลัง ออกมา ผูกมัดเท้าของชายหญิงคู่ไหนแล้วละก็ เสร็จทุกรายโดยไม่ต้องไปเกาะเสม็ด ทั้งคู่ก็จะได้ครองรักกันแน่นอน
เรื่องของ “เย่เหล่า” ถูกบันทึกครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ถัง จากหนังสือชื่อ “ซวี่เถียนไกว่ลู่” (績玄怪錄) ตอนร้านหมั้นหมาย (定婚店)
ในสมัยราชวงศ์ถังมีชายหนุ่มคนนึงชื่อ “เหวยกู้” (韋固) ซึ่งกำพร้าพ่อและแม่ไปตั้งแต่เด็กๆ เหวยกู้นั้นมี พร้อมทุกๆอย่างเลย และคิดอยากสร้างครอบครัวเร็วๆ แต่ติดปัญหาตรงที่ว่ายังหา ฟ แฟนไม่ได้สักที วันนึง “เหวยกู้” ได้เดินทางมาเที่ยวที่ซ่งเฉิน (宋城) แล้วเข้าพักที่โรงเตี้ยมหนันเตี้ยน (南店) อีตาเหวยกู้ เนี่ยคงจะบ่นเรื่องหาเมียให้คนในโรงเตี้ยมฟังแหละ คนในโรงเตี้ยมก็เลยแนะนำ ให้เหวยกู้ไปเข้าพิธีดูตัวหญิงสาวที่วัดซิงหลงในวันรุ่งขึ้น
ถึงวันรุ่งขึ้น “เหวยกู้” ก็ตื่นเต้นใหญ่ รีบออกเดินทางตั้งแต่กลางดึกเลย ระหว่างทางก็ได้เจอกับ “ชายชรา สะพายย่ามใบใหญ่ นั่งอ่านหนังสือโดยใช้แสงจันทร์อยู่บนก้อนหิน” พอมองไปที่หนังสือเล่มนั้นก็เห็นว่าเขียนด้วยภาษาประหลาดที่อ่านไม่ออก เหวยกู้เลยถามชายชราว่าที่เขียนอยู่ในหนังสือนั้นเป็นภาษาอะไร เพราะมั่นใจว่าตัวเองเรียนมาเยอะ ชายชราที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่นคือเย่เหล่า หรือผู้เฒ่าจันทรา แกเลยบอกว่า อันนี้ไม่ใช่หนังสือบนโลกมนุษย์แต่เป็นหนังสือของยมโลก เจ้าพนักงานในยมโลกขึ้นมาบนโลกค่อนข้างบ่อยเพราะต้องคอยดูแลเรื่องของโลกมนุษย์ เหวยกู้เลยถามต่อว่า แล้วเย่เหลาท่านดูแลเรื่องอะไรเล่า ฝั่งเย่เหล่าก็บอกว่ารับผิดชอบด้านการมีคู่ครองของชาวโลก เข้าทางเหวยกู้พอดี เฮียเหวยก็เลยเล่าเรื่องของตัวเองรวมไปถึงเรื่องการจะไปดูตัวเจ้าสาวให้ฟัง
ฝั่งเย่เหลาแกจับยามสามตาแล้วบอกว่า ยังไม่ถึงเวลา เจ้าสาวของเฮียเหวยเพิ่งจะอายุได้ 3 ขวบ เอง ต้องรอให้ 17 ปีก่อนโน่นถึงจะได้เจอเฮียเหวยกู้ฟังแล้วก็ให้รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ถามถึงย่ามใบใหญ่ที่เย่เหล่าสะพายมาว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร ( เฮียแกขี้สงสัยเนาะ )
เย่เหลาบอกว่า เป็นย่ามที่เอาไว้ใส่เส้นด้ายสีแดง ใช้สำหรับผูกข้อเท้าของคนที่เป็นคู่ครองกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายนั่งลง ก็จะแอบเอาด้ายนี้ไปผูกข้อเท้าของแต่ละคน คนละข้าง หลังจากนั้นต่อให้จะเป็นครอบครัวหรือคนที่มีความแค้นต่อกัน จะมีฐานะต่างกันราวฟ้ากับเหว หรือจะอยู่ไกล ไปสุดหล้าฟ้าเขียว ก็ไม่สามารถหลุดจากกันได้ ตราบเท่าที่ข้อเท้าของเจ้าได้ถูกผูกด้ายแดงไว้กับหญิงคนนั้นแล้ว จะไปหาหญิงอื่นอีกก็ไม่มีประโยชน์
คนเรามันขี้สงสัยอ่ะนะเฮียเหวยเลยถามต่อว่า อ้าวแล้วเจ้าสาวของผมตอนนี้อยู่ที่ไหน? แล้วบ้านของนางมีอาชีพอะไร?
เย่เหล่าก็บอกว่า เป็นลูกสาวของหญิงแซ่เฉินที่ขายผักข้างๆโรงเตี้ยมนี้แหละ หญิงแซ่เฉินมักจะอุ้มเด็กหญิงมาขายผักด้วย อยากเจอป่ะล่ะถ้าอยากก็ตามมาเดี๋ยวข้าจะชี้ให้เจ้าดู
เย่เหล่าก็เดินนำไปถึงตลาดสด เจอหญิงที่ตาบอดข้างเดียวอุ้มเด็กหญิงอายุประมาณ 3 ขวบ เด็กคนนั้นฟันหลอหน้าตาขี้เหร่ เย่เหล่าก็ชี้ที่เด็กคนนั้นพร้อมบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นภรรยาเจ้า ฝ่ายเฮียเหวยพอเห็นหน้าตาเด็กผู้หญิงแล้วก็รู้สึกรังเกียจปนโมโหเลยโพล่งไปว่าหน้าตาแบบนี้เนี่ยนะจะให้ข้าแต่งด้วยสู้ฆ่ามันให้ตายดีกว่า ( สมที่มีคำนำหน้าว่าเ_ี้ย เอ๊ย!เฮีย จริงๆ )
เย่เหล่าได้ฟังดังนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับค่อยๆจางหายไปแต่ก่อนหายไปก็กล่าวกับเฮียเหว่ยว่า เด็กคนนี้ได้ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องเป็นภรรยาเจ้า เจ้าฆ่านางไม่ตายหรอก
อีตาเหวยกู้ พอกลับมาที่โรงเตี้ยม ก็สั่งให้คนรับใช้ของตัวเองเอามีดไปฆ่าเด็กหญิงคนนั้น พอคนรับใช้กลับมาก็บอกว่าได้แทงไป ครั้งนึง กะจะแทงที่หัวใจให้ตาย แต่พลาดไปโดนหว่างคิ้ว เหวยกู้ฟังแล้วก็เซ็งนึกถึงคำของเย่เหล่าขึ้นมาได้เลยถอดใจแล้วเดินทางกลับบ้าน และพยายามหาคนมาแต่งด้วย แต่ไม่เคยสำเร็จ จนเวลาผ่านไป 14 ปี เหวยกู้ก็ได้รับราชการเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โต แล้วได้แต่งงานกับลูกสาวของหวังไท่ (泰) ผู้ตรวจการเมืองเซี่ยงโจว (相州) สาวสวยคนนี้มีอายุ 17 ปี แต่ตรงคิ้วของสาวคนนี้จะปิดไว้ด้วยดิ้นทอง แม้แต่ ตอนล้างหน้าก็ไม่ยอมถอดออก หลังแต่งงาน เหวยกู้พยายามคาดคั้นสาเหตุของการติดดิ้นทองตรงคิ้ว หนักเข้าภรรยาเหวยกู้ก็ร้องไห้แล้วตอบว่า จริงๆแล้วข้าเป็นหลานของท่านผู้ตรวจการ สมัยก่อนพ่อแท้ๆเป็นเจ้าเมืองซ่งแล้วตายในหน้าที่ ตอนนั้นยังเด็กมากแม่กับพี่ชายก็มาตายจากไปอีก เลยถูกแม่นมแซ่เฉินพามาอยู่ด้วยในเมือง แม่นมมีฐานะไม่ค่อยดีต้องมาขายผักเลี้ยงชีพ สมัยเด็กแม่นมจะอุ้มไปขายผักที่ตลาดด้วย วันนึงมีคนใจโฉดเอามีดมาไล่แทงเลยเป็นแผลเป็นที่หว่างคิ้ว จวบจนเมื่อ 7-8 ปีก่อน ท่านอา ที่เป็นเจ้าเมืองคนปัจจุบันรักนางเหมือนลูกเลยเอาตัวของนางมาเลี้ยงและยกให้เป็นภรรยาของเหวยกู้
อาเฮียเหวยกู้เรารู้สึกแหม่งๆ ก็เลยถามว่าแม่นมที่ว่าเนี่ยแซ่เฉินตาบอด 1 ข้างใช่ป่ะ? ภรรยาก็บอกว่า “ใช่” เฮียเหวยกู้ก็เลยสารภาพผิด พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ภรรยาฟัง ฝ่ายภรรยาฟังแล้วก็ตกใจปนโกรธแต่ก็มานั่งคิดว่าที่แล้วก็แล้วกันไปให้อภัยแล้วกัน ต่อมานายอำเภอซ่งเฉินที่รู้เรื่องราวระหว่างทางรักของเหวยกู้กับลูกสาวตัวเอง ก็เปลี่ยนชื่อโรงเตี้ยม “หนันเตี้ยน” เป็น “ติ้งฮุนเตี้ยน” ที่แปลว่าร้านหมั้นหมาย ตำนาน เย่เหล่า เฒ่าแสงจันทร์ ก็จบลงเท่านี้
ตำนานเทพแห่งความรักและคู่ครองของฝั่งจีนและอินเดียที่เป็นผู้ดูแลหลักเน้นๆเรียกว่ามาขอรักได้รักขอคู่ได้คู่ แต่นอกจากทั้งสององค์นี้จริงๆแล้วยังสามารถขอพรเรื่องความรักและเนื้อคู่จากเทพองค์อื่นได้เช่นกัน เช่นพระตรีมูรติ พระแม่ลักษมี พระแม่อุมา พระคเณศปางที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ เพียงแต่ท่านไม่ใช่เทพที่ดูแลเรื่องความรักและเนื้อคู่โดยตรง ท่านคงต้องสั่งการผ่านลงไปอีกที เพราะฉะนั้น ถ้าขอแล้วถ้ายังไม่ได้ก็รอหน่อยน้าา แต่หากใครใจร้อนอยากขอแบบไดเร็คตรงๆกันไปเลย สำหรับเย่เหล่า ไปขอพรผูกด้ายแดงได้ที่วัดหวังต้าเซียน ฮ่องกง หรือถ้าในไทยลองสอบถามตามศาลเทพเจ้าจีนว่ามีเย่เหล่าสถิตอยู่จุดใด ส่วนองค์กามเทพของฝั่งฮินดู น่าจะต้องไปสอบถามที่เทวสถานวัดแขกสีลมดู
( รูปพญามารในพุทธศาสนา )
กามเทพและความรักในทางพุทธ
หากบอกว่ากามเทพคือชื่อหนึ่งของมาร ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าในพุทธศาสนาก็มีกามเทพเช่นกัน ในทางพุทธมองว่าความรักเป็นหนึ่งในสี่เครื่องร้อยรัดใหญ่ อันประกอบด้วย รัก โลภ โกรธ หลง คำว่ารักหากอยู่อยู่เดี่ยวๆเป็นแค่เครื่องร้อยรัดปกติ แต่ถ้ามีโลภเข้ามาเติมก็จะอยากได้ พอไม่ได้ก็จะมีโกรธ สุดท้ายจะพาหลงผิดไปหาวิธีการต่างๆนาๆมาเพื่อสนองตอบความโลภ
เพราะฉะนั้นสำหรับปูถุชนคนธรรมดาอย่างเราเพื่อชีวิตที่สงบสุขก็อย่าให้ความรักถูกต่อท้ายด้วยโลภโกรธหลงเพราะสุดท้ายผลที่ได้อาจจะโดนเพลิงมหาประลัยจากตาที่สามของมหาเทพเผาจนไหม้เป็นจุลดุจพระกามเทพ แต่คงไม่สามารถคืนชีพได้เฉกเช่นพระกามเทพ
คราวหน้ามาลุ้นกัน ว่าจะนำเสนอองค์ไหนหรือตำนานอะไรครับ
เขียนโดย ต้น คนชอบพระ
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก สื่อโซเซี่ยล ครับ
ปล. หากมีวัด ศาสนถาน โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯใดที่ต้องการประชาสัมพันธ์การขายวัตถุมงคลหรือบริจาคเพื่อการกุศลอย่างแท้จริง ทางคอลัม์พระบ้าน ยินดีประชาสัมพันธ์ให้ฟรีครับ
สนใจลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ ติดต่อ 0818214442 ต้น