รองผบช.ก.เตรียมออกหมายจับเพิ่ม 2 ตัวการแก๊ง”ศรีสุวรรณ”รีดทรัพย์ พร้อมแจ้งข้อหา “การ์ตูน” เพิ่ม ระบุ เปรียบ”แก๊งศรีสุวรรณ”เป็นเหลือบไรหมาขี้เรื้อน ไล่เห่าขออาหาร วิงวอน “พีระพันธุ์” รองนายกรัฐมนตรี รีบส่งหนังสือยกเลิกตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบช.ก.)เปิดเผยความคืบหน้าคดีรีดทรัพย์ขบวนการ นายศรีสุวรรณ จรรยา กับพวก ว่า อยู่ระหว่างขั้นตอนของพนักงานสอบสวนในการเชิญ “นายหมู” มาให้ปากคำในฐานะพยาน ทั้งการทำหนังสือเชิญ และการพูดคุยกันนอกรอบ ซึ่งเชื่อว่าเจ้าตัวจะเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนแน่นอน แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาได้ อยู่ระหว่างการดำเนินการ และไม่เพียงแต่นายหมู แต่พนักงานสอบสวนจะเชิญอักษรย่อทุกคนมาสอบปากคำทั้งหมด แต่ในวันนี้ได้เชิญพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีมาสอบปากคำหลายปาก หนึ่งในนั้นเป็นผู้เสียหายที่ถูกแก๊งของนายศรีสุวรรณรีดทรัพย์ลักษณะคล้ายๆ กัน ซึ่งผู้เสียหายจะแจ้งความดำเนินคดีกับแก๊งดังกล่าวหรือไม่ ยังไม่แน่ชัด ส่วนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตัวย่อ ท. ที่มีข่าวว่าตกเป็นเหยื่อของขบวนการนายศรีสุวรรณเช่นกัน พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการประสานเข้าให้ข้อมูลเช่นกัน
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังเตรียมออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการของ นายศรีสุวรรณ เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 2 คน ภายในวันศุกร์นี้ ซึ่งเป็นตัวการที่ตำรวจต้องการตัวมาก และเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในคดี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นบุคคลใด ส่วน น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์หรือ การ์ตูน อดีตผู้สมัคร สส.จังหวัดอุตรดิตถ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ เพิ่มเติมในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ หลังพบว่ามีการแต่งตั้ง น.ส.พิมณัฏฐา เป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ของรองนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะถูกยกเลิกในวันที่มีการจับกุม ดังนั้นจะทำให้นางสาวพิมณัฏฐาเป็นผู้ต้องหาสายเดียวกับเจ๋ง ดอกจิก
ส่วนกรณีที่มีการนำเสนอข่าวไปว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 นายหมูได้พาอธิบดีกรมการข้าว และภรรยาไปเจรจากับนายศรีสุวรรณ ที่บ้าน และมีการจ่ายเงิน 6 หลัก ให้กับนายศรีสุวรรณนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยืนยันว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และวันดังกล่าวเป็นเพียงการเจรจาขอให้ยุติการร้องเรียน ไม่มีการพูดคุยเรื่องผลประโยชน์หรือจ่ายเงินแต่อย่างใด โดยการจ่ายเงิน 6 หลักนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่นายศรีสุวรรณสึกจากการบวชเป็นพระ แต่ในระหว่างบวชก็มีการเจรจามาโดยตลอด ดังนั้นหลังจากนี้จะเชิญนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และนายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ที่ปรึกษากฎหมายของอธิบดีกรมการข้าว มาทำความเข้าใจข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไป
แต่ยืนยันว่าพนักงานสอบสวน บก.ปปป.จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่างแน่นอน จะยึดตามพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้กลั่นแกล้งรังแกใคร ไม่มีใต้ดินใดๆ ตอนนี้ข้อเท็จจริงกำลังเปิดเผยข้อมูลของบุคคลชั่วร้ายออกมา ว่าทำไมขบวนการนี้ถึงได้รู้ข้อมูลวงในของหน่วยงานรัฐ เป็นมืออาชีพที่ชั่วร้าย แก๊งดังกล่าวไม่ใช่การร้องเรียนเพื่อให้ประเทศชาติดีขึ้น แต่เป็นเหลือบไร เป็นสุนัขข้างทาง เป็นไรข้างถนน ที่จะพยายามจะไล่เห่า ไล่กัดเพื่อแย่งอาหาร อาหารก็เปรียบเสมือนงบ พวกนี้ก็จะล้อมหน้าล้อมหลังเอาเศษอาหาร เป็นพวกขี้เรื้อน ดังนั้นต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ ยืนยันคดีนี้หากหลักฐานไม่พอ จนมั่นใจขนาดนี้ ตำรวจ บก.ปปป. ก็คงไม่กล้ารบกับยักษ์ขนาดนี้ ซึ่งมีทั้งพ่อยักษ์ และลูกยักษ์ ถ้าใครคิดว่าอยู่เหนือกฎหมายก็ลองดู
ส่วนการที่ถูกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ติงการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ตำรวจ บก.ปปป. เข้าจับกุมตัวเจ๋ง ดอกจิก และ น.ส.พิมณัฏฐา ที่ทำเนียบรัฐบาล ใช้เพียงตำรวจยศ “พ.ต.อ.”ในการจับกุม ถือว่าไม่ให้เกียรติสถานที่ ต่างจากที่จับกุม นายศรีสุวรรณ ที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไปจับกุมเอง นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยืนยันว่าตามกฎหมาย ตำรวจทุกคนมีอำนาจตามกำหมายรัฐธรรมนูญสามารถจับกุมได้เท่าเทียมกัน เป็นการกระจายปฏิบัติงานตามหน้าที่ และตามขั้นตอนจะต้องจับกุมนายศรีสุวรรณที่เป็นตัวการใหญ่สุดก่อน จากนั้นจึงจะจับกุมบุคคลที่เหลือ ซึ่งเมื่อจับกุมนายศรีสุวรรณได้แล้ว ตำรวจก็ได้ประสานไปยังผู้ใหญ่ในทำเนียบเพื่อขอเข้าจับกุมอย่างเงียบๆ แล้ว และไม่ได้เป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ ตำรวจทุกนายมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยศ แต่ขึ้นอยู่กับกฎหมาย พร้อมขอวิงวอนให้นายพีระพันธุ์ให้รีบส่งหนังสือยกเลิกการแต่งตั้งเจ๋ง ดอกจิก และ น.ส.พิมณัฏฐา เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมาให้เจ้าหน้าที่ด้วย เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการต่อ และอยากให้นายพีระพันธุ์เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่