นางพิทยา วรปัญญาสกุล (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัลมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด (Thailand’s Top Corporate Brand Value 2023) ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ ประจำปี 2566 ด้วยมูลค่าแบรนด์ 92,899 ล้านบาท จากศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร (ขวา) คณบดีและอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 5 ที่เคทีซีได้รับรางวัลดังกล่าว ในงาน ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2023 โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ริเริ่มงานวิจัย “การวัดมูลค่าและจัดอันดับแบรนด์องค์กรในอาเซียนและประเทศไทย” ร่วมแสดงความยินดี ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รางวัล ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brand เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย โดยหลักสูตร Master in Branding and Marketing – MBM คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เพื่อพัฒนาการวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรอย่างเป็นระบบในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม จากการคำนวณด้วยเครื่องมือวัดค่าแบรนด์องค์กร CBS Valuation (Corporate Brand Success Valuation) ที่บูรณาการแนวคิดด้านการตลาด การเงินและการบัญชีเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรออกมาเป็นตัวเลขทางการเงินได้ เพื่อส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างแบรนด์องค์กรให้เข้มแข็งเพื่อความยั่งยืนในภูมิภาค
คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนัดแรกของปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจอาจได้รับแรงกระตุ้นเพิ่มผ่านการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลสูงกว่า 3%ต่อ GDP ต่อเนื่องในปี 2568
ธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นข้อจำกัดดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบในช่วงที่ผ่ต่อการเติบโต การใช้นโยบายการเงินไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็ว ในการแถลงแนวคิดนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 15 มกราคม โดยผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับ 2.50% มีความเหมาะสมในบริบทเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบัน ซึ่งพอจะสรุปประเด็นที่สำคัญได้ดังนี้
(i) ธปท.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในหลายมิติ โดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ ภาคบริการ และการจ้างงานที่ปรับตัวานมาส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการอุดหนุนและมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานของรัฐบาล ซึ่งไม่ได้เกิดจากการลดลงของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนับว่าอยู่ในระดับที่ต่ำและต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เป็นส่วนใหญ่
(ii) ภาวะการขยายตัวของสินเชื่อปรับดีขึ้นจากแนวโน้มการกลับมาให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และการออกตราสารหนี้ของภาคเอกชนมีความเสี่ยง roll over ยังจำกัดอยู่
(iii) แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับสูงขึ้น แต่ธปท.ยังมีการดำเนินมาตรการเฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยล่าสุด ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระบางส่วนที่ลูกหนี้ต้องเผชิญในการผ่อนชำระหนี้
ทั้งนี้ จากมุมมองล่าสุดของธปท.เกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงชั่วคราว และยังมีการให้ความช่วยเหลือที่เน้นตรงไปยังกับกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางเป็นสำคัญ ประกอบกับความเห็นว่าเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ มีสาเหตุจากมีปัญหาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว ซึ่งธปท.ชี้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็ว (quick fix) จึงคาดว่าในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปีนี้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50%
รัฐบาลกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่ 3.6 ล้านล้านบาท เป็นงบขาดดุลที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 2 หมื่นล้านบาท การประชุมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 16 มกราคม มีมติเห็นชอบกรอบงบประมาณปี 2568 โดยกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 3.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในปีงบฯ2567 (หรือเพิ่มขึ้น 3.4%) โดยเป็นงบประมาณขาดดุลอยู่ที่ 7.13 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งขาดดุลที่ 6.93 แสนล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้น 2.9%) และเป็นงบขาดดุล3.56% ต่อ GDP เทียบกับขาดดุลที่ 3.64% ต่อ GDP ในปีงบฯ 2567
เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่ายังขาดแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในปี 2566 ทำให้การจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 มีความล่าช้าออกไป (จากปกติจะเริ่มเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566) อย่างไรก็ตาม คาดว่าการจัดทำจะเสร็จสิ้นและสามารถเร่งเบิกจ่ายได้ภายในไตรมาสสองของปีนี้ ซึ่งจะกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้ในระยะถัดไป (ดังเช่นการเบิกจ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562) นอกจากนี้ การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี และยังคงขาดดุลการคลังสูงกว่า 3% ของ GDP ต่อเนื่องในปี 2568 สะท้อนเศรษฐกิจไทยยังมีความจำเป็นต้องได้รับแรงกระตุ้นผ่านทางนโยบายการคลัง ในอีกมุมหนึ่งอาจยังต้องระวังผลกระทบต่อวินัยการคลังและหนี้สาธารณะซึ่งล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 62% ต่อ GDP