ติดตามข่าวยอดเงินที่ประชาชนบริจาคเข้าพรรคการเมืองขณะยื่นเสียภาษีเงินได้ประจำปี 2567 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ประกาศการจัดเงินอุดหนุนกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จากเงินบริจาคภาษีเงินได้ จำนวน 78 พรรคการเมือง จำนวนทั้งหมด 54,910,10.21บาท

ปรากฏว่าพรรคก้าวไกล ประชาชนบริจาคให้มากที่สุดถึง 36,991,672.23 บาท ตามด้วย พรรคเพื่อไทย 4,588,711.64 บาท พรรครวมไทยสร้างชาติ 4,173,914.62 บาท พรรคประชาธิปัตย์ 3,052,367.70 บาท พรรคเสรีรวมไทย 1,306,120.82 บาท ขณะที่พรรคภูมิใจอยู่ที่ 344,521.60 บาท
ที่ยกเงินบริจาคของประชาชน มานำเสนอเพียงเพื่อสะท้อนว่าชนชั้นกลางยังคงศรัทธา พรรคก้าวไกลอย่างเหนียวแน่น เพราะเงินบริจาคนำห่างพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลายช่วงตัว แม้ในช่วงที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลจะเกิดอาการเสียศูนย์อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมการเมืองไฟเขียวให้ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา เกาะเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ถึงขั้นขับออกจากพรรค หรือกรณี 4 สส.ก้าวไกล ถูกร้องเรียนปมคุกคามทางเพศ ถึงขั้นถูกกดดันให้พรรคลงมติขัรวมถึงกรณี ผู้ช่วย สส.นนทบุรี ก่อเหตุวิวาทกันเองแต่ข่าวอื้อฉาวในลักษณะนี้มิได้ฉุดภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกลให้ตกต่ำตามที่ฝ่ายตรงข้ามคาดหมายแต่อย่างใด ยิ่งได้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กลับเข้าสภาฯอีกรอบ บรรดาแฟนคลับพรรคส้มดูจะปลื้มเป็นพิเศษ
แต่ที่น่าติดตามอีกผลงานหนึ่งของพรรคก้าวไกล คือผลักดันตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจต่างๆของกองทัพ ให้ไปอยู่ในการดูแลของรัฐบาล โดย น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อของพรรค เป็นผู้เสนอ
ที่ประชุมสภาฯมีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯชุดดังกล่าว กำหนดระยะเวลา 90 วัน มีจำนวน 25 คน สัดส่วนจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) 6 คน ก้าวไกล 6 คน เพื่อไทย 5 คน ภูมิใจไทย 3 คน พลังประชารัฐ 2 คน รวมไทยสร้างชาติ 1 คน ประชาธิปัตย์ 1 คนและชาติไทยพัฒนา 1 คน
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อก้าวไกล อภิปรายสนับสนุนว่า ธุรกิจกองทัพไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ แต่เป็นกลไกที่ให้กองทัพเข้าไปพัวพันกับการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ อีกทั้งเป็นแหล่งรายได้ของนายพลและเครือข่ายอุปถัมภ์ ขาดความโปร่งใส
“มักบอกว่ากองทัพมีกลไกในการตรวจสอบตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีการตรวจสอบใดๆ ที่สำคัญประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายของกองทัพได้ ไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ จึงสะท้อนให้เห็นว่า กองทัพขาดสำนึกว่าเงินใช้จ่ายมาจากภาษีประชาชน”นายวิโรจน์ระบุ
ขณะเดียวกัน น.ส.เบญจา ได้อภิปรายเกี่ยวกับรายได้ของอดีตผู้นำเหล่าทัพ ว่ามีรายได้สูง รวมถึงอภิปรายถึงกองทัพครอบครองที่ราชพัสดุที่อยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์กว่า 12.5 ล้านไร่ สามเหล่าทัพครอบครองไปเกือบ 7.5 ล้านไร่ และที่น่าตกใจกองทัพมีสถานีบริการน้ำมัน 150 แห่ง สนามกอล์ฟ 74 แห่ง สร้างรายได้หลายพันล้านต่อปี นอกจากมีธุรกิจอื่น อาทิ ตลาดนัด โรงแรม สนามมวย รวมถึงสถานพักฟื้นพักผ่อนของกองทัพ
นอกจากนี้ น.ส.เบญจา ยังอภิปรายในหลายประเด็น อาทิ บทบาทของทหารเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ หลังรัฐประหารเข้าไปมีตำแหน่งในบอร์ดทั้ง 56 แห่งเพิ่มมากขึ้น และถือครองคลื่นความถี่มากที่สุดในประเทศรวม 205 คลื่น เป็นต้น นับเป็นจังหวะก้าวที่กล้าหาญของพรรคก้าวไกล แม้เป็นเพียงกมธ.ศึกษาฯก็ตาม เพราะหากย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่มีรัฐบาลหรือสภาฯชุดไหนกล้าที่จะแตะขุมทรัพย์ของกองทัพเลย เสมือนเป็นจุดพลุด้วยการใช้กลไกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปตรวจสอบ การขับเคลื่อนของพรรคก้าวไกลครั้งนี้คงโดนใจชาวบ้านจำนวนมากอย่างแน่นอน
เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านต่างรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์ในกองทัพมาโดยตลอด แต่ไร้หลักฐานที่ชัดเจน จะสัมผัสได้เพียงข่าวลือว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพแต่นายเมื่อเกษียณอายุจะมีทรัพย์อยู่ในมือ จำนวนมากเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับตลอดชีวิตหลายเท่าตัว
ดังนั้นนับแต่นี้เป็นต้นไปต้องจับตามบทบาทของคณะกรรมาธิการฯชุดนี้เป็นพิเศษว่าจะเล่นบทประนีประนอมกับกองทัพด้วยการยอมงอแล้วโอนอ่อนผ่อนตามพร้อมกับข้ออ้างว่าศึกษาแล้วกองทัพทำได้ดี หากดึงธุรกิจออกมาจะกระทบความมั่นคง หรือจะเล่นบทแตกหัก ด้วยการนำผลการศึกษาออกมาเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบ แล้วเดินต่อด้วยการผลักดันให้ธุรกิจกองทัพมาอยู่ในความดูแลของรัฐบาล หากทำได้จริงจะมีแต่เสียงชื่นชมกมธฯและพรรคก้าวไกลจะเป็นขวัญใจของคนชั้นกลางที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแน่นอน
แต่อดห่วงมิได้เพราะบทบาทของคณะกรรมาธิการฯชุดนี้เสมือนการทุบหม้อข้าวของกองทัพ โอกาสที่จะเห็นทหารออกมาเอ็กเซอไซ อาจจะเกิดขึ้นได้ แม้ยุคสมัยจะมาไกลแล้วก็ตาม !!!


