เมื่อวันที่ 25 มกราคม 67 สภาผู้แทนราษฎรมีมติตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนหน้าที่การให้บริการไฟฟ้าที่อยู่ในความดูแลความรับผิดชอบ กิจการไฟฟ้าสวัสดิการของกองทัพ ไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมไปถึงการถ่ายโอนธุรกิจต่างๆ ของกองทัพ ไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาล โดย น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ รวมกับญัตติทำนองเดียวกันอีก 2 ฉบับ มีกำหนดระยะเวลา 90 วัน
สำหรับกรรมาธิการชุดดังกล่าวประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวน 25 คน สัดส่วน ดังนี้ ครม. 6 คน, พรรคก้าวไกล 6 คน, พรรคเพื่อไทย 5 คน, พรรคภูมิใจไทย 3 คน, พรรคพลังประชารัฐ 2 คน, พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน และพรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน โดยกมธ. ในสัดส่วนจากพรรคก้าวไกล มีชื่อของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รวมทั้ง รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วย
ทั้งนี้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้กล่าวอภิปรายว่า ธุรกิจกองทัพไม่ใช่หน้าที่ของทหาร และไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ แต่เป็นกลไกที่ให้กองทัพเข้าไปพัวพันกับการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรายได้ของนายพลและเครือข่ายอุปถัมภ์ หลังม่านการเมือง ขาดความโปร่งใส แม้แต่องค์กรอิสระก็น้ำท่วมปาก ส่วนใหญ่มักบอกว่ากองทัพมีกลไกในการตรวจสอบตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีการตรวจสอบใดๆ
นายวิโรจน์กล่าวว่า นอกจากนี้ธุรกิจกองทัพยังบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ เห็นได้จาก ดัชนี GDI ปี 2563 ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่ใช้ประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับหน่วยงานด้านความมั่นคง ผลจากการประเมินปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ.2563) ไทยถูกประเมินในอยู่ในลำดับที่เสี่ยงมากที่สุด โดยเฉพาะด้านการเงินและการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ซึ่งสาเหตุก็มาจากธุรกิจของกองทัพเป็นต้นเหตุ ที่สำคัญประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของกองทัพได้ และไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ จึงสะท้อนให้เห็นว่า กองทัพขาดสำนึกว่าเงินที่ใช้จ่ายมาจากภาษีของประชาชน
นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายสนับสนุนญัตติ โดยระบุว่า ในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี กองทัพเรือเป็นฝ่ายดูแลระบบการให้บริการสาธารณะนี้กับประชาชนในพื้นที่มาเป็นเวลา 8 ปี และมีการขยายเขตไฟฟ้าให้ประชาชนยังมีไม่ถึง 5% ยกตัวอย่างในเขต ต.แสมสาร ที่ยังไม่มีไฟฟ้าชั่วคราวใช้ ซึ่งกองทัพเรืออ้างว่าเป็นปัญหาด้านข้อพิพาทที่ดิน แม้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่า การให้บริการไฟฟ้าสำหรับคนไทย ไม่สามารถอ้างสิทธิที่ดินได้ ฉะนั้นประชาชนในเขต ต.แสมสาร ควรต้องได้สิทธิใช้ไฟฟ้าชั่วคราวทุกครัวเรือน ขอฝากไปถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย เพราะปัญหาการขยายเขตไฟฟ้าทำให้ ประชาชน ในอ.สัตหีบ หลายพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิจารณาว่าควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาครับไปดำเนินการได้หรือยัง วันนี้ไฟฟ้า ทร. ให้บริการทั้งอำเภอสัตหีบถึง 5 ตำบล ตั้งแต่นาจอมเทียนเลยพัทยามานิดเดียว ต.แสมสาร,พลูตาหลวง,สัตหีบ,บางเสร่ ชาวบ้านก็บ่นมาหลายสิบปี ”ฝนตกเม็ดเดียวก็ไฟตก” 80 ปีที่แล้วตรากฎหมายให้อำเภอสัตหีบ เป็นอำเภอของกองทัพเรือ มีแต่ฐานทัพเรือเท่านั้น แต่ตอนนี้ความเจริญเข้ามา มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อย่างที่บางเสร่มีที่เที่ยวระดับโลกเช่น สวนน้ำการ์ตูนเน็ตเวิร์ค มีสวนนงนุช มีบ้านพัก มีคอนโดมิเนียม โรงแรมมากมาย แต่ทุกวันนี้ต้องขอใช้ไฟจาก ทร.จึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาว่าควรจะโอนไปให้ กฟภ. ได้หรือยัง
นายจิรายุกล่าวว่าการพิจารณา ของ กมธ.คณะนี้เชื่อว่าผลจะออกมาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนสัตหีบ ชลบุรี เพราะเมื่อ 30 ปีที่แล้วอำเภอบ้านฉางระยอง ก็เคยใช้ไฟของทร.แต่ก็มีการโอนให้กับ กฟภ.ไปทำแล้วในปี 2537 ทั้งนี้หากที่ประชุมโหวตให้ตนเป็นประธานฯ ก็จะทำให้เต็มที่ เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและตนมาจากประชาชน อะไรที่ต้องหาแนวทางร่วมกัน ระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศก็จะทำให้เต็มที่
การนัดประชุมครั้งแรกจะมีขึ้นในวันพุธที่ 31 มกราคมนี้ เวลา 10:00 น. ที่อาคารรัฐสภาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งประธาน กมธ.และอื่นๆ รวมทั้งกำหนดแนวทางและขอบเขตในการพิจารณา และอาจจะมีการพิจารณาเรื่องสวัสดิการ และธุรกิจต่างๆ ของกองทัพเช่นสนามกอล์ฟไปพร้อมๆ กันด้วย