ยอมถูกบูลลี่ จรรยาบรรณวิชาชีพทางการแพทย์ มาตรฐานรักษา เพียงเพื่อสนอง”น.ช.แม้ว”
นับแต่นายทักษิณ ชินวัตร บินกลับมารับโทษกระทั่งถูกส่งเข้าคุกเปลี่ยนคำสรรพนามนำหน้าเป็นนักโทษชาย(น.ช.)ทักษิณ ติดคุกทิพย์ เพราะไม่ได้ย่างเข้าคุกแม้แต่ก้าวเดียวก็ถูกส่งไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566
กลายเป็นประเด็นที่สังคมถามหามาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมไทย ตลอดเวลากว่า 120 วัน ที่ น.ช.ทักษิณ นอนรักษาอาการป่วย จนหลายฝ่ายเกิดข้อสงสัยว่าป่วยหนักหรือแกล้งป่วย อย่างคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ถึงขั้นขอไปศึกษางานและเยี่ยมชมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวผู้ต้องขังป่วยที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 12 มกราคม 2567
พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจเอง ยินดีให้ กมธ.ตำรวจ เข้าดูงาน แต่ต้องไม่กระทบสิทธิ์หรือละเมิดสิทธิ์ของผู้ป่วยที่มาใช้บริการ ส่วนจะเข้าเยี่ยมอาการหรือดูขั้นตอนการรักษานายทักษิณนั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะการจะไปดูผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นนายทักษิณหรือผู้ป่วยรายอื่นโรงพยาบาลตำรวจไม่อนุญาต”
เป็นจังหวะเดียวกับที่ กรมราชทัณฑ์ออกแถลงการณ์สอดรับว่าแพทย์ผู้รักษาอาการป่วยแจ้งว่า”น.ช.ทักษิณมีอาการเจ็บป่วยหลายประการต้องเฝ้าระวัง ผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้พ้นสภาวะอันตรายแก่ชีวิต ซึ่งมาตรา 7 แพทยสภาเองระบุไว้ว่า ควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้ถูกต้องตามจริยธรรม แห่งวิชาชีพเวชกรรม ถ้าตีความตามกฏระเบียบแพทยสภาแล้ว นายแพทย์ใหญ่ ที่ยอมพลีชีพแอ่นอกรับ อ้างเหตุกฎระเบียบ ทางแพทยสภา จะมีบทบาทมากแค่ใหนต่อกรณีนี้ หรือมึนตามๆกันไปหรือไม่.?
“อธิบดีกรมราชทัณฑ์พิจารณาแล้วอนุญาตให้ น.ช.ทักษิณ รักษาอาการเจ็บป่วยต่อที่โรงพยาบาลตำรวจแม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมากว่า 120 วัน ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 โดยกรมราชทัณฑ์ยึดหลักการสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องขังพึงได้รับตามมาตรฐานสากล”
บทบาททั้ง 3 หน่วยงานชาวบ้านต่างสงสัยว่ากำลังเล่นบทปาหี่กันหรือไม่ ?
เพราะแต่ละหน่วยที่แสดงบทบาทพออนุมานได้ว่า ปกป้อง น.ช.ทักษิณ มากกว่าที่จะปกป้องกระบวนการยุติธรรมให้มีความขลัง หากวัดเครดิตความน่าเชื่อถือดูเหมือนว่าโรงพยาบาลตำรวจ เครดิตจะถดถอยหนักกว่ากรมราชทัณฑ์และกมธ.ตำรวจ เพราะ 2 หน่วยหลัง เครดิตถดถอยมานานแล้ว แต่โรงพยาบาลตำรวจเดิมเครดิตการรักษาและวินิจฉัยโรคแม่นยำอยู่ระดับต้นๆของประเทศ
ญาติผู้ป่วยท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า นำญาติสูงอายุเข้าตรวจอาการปวดศรีษะ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจนำเข้าเครื่องเอกซเรย์ พบว่าหินปูนอุดเส้นโลหิตในสมอง นัดผ่าตัดสมองใช้เวลาเพียง 1 วัน ผ่าตัดสำเร็จเพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัย ให้พักรักษาตัวเพื่อดูอาการไม่ถึง 2 สัปดาห์ อนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน อาการปวดหัวหายสนิท
ขณะที่บรรดาตำรวจตั้งแต่ชั้นประทวนยัน พล.ต.อ.ล้วนเลือกใช้บริการ โดยเฉพาะโรคหัวใจจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เข้าทำบอลลูนหัวใจเพียง 1 วัน สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว
แม้แต่ประชาชนทั่วไปต่างให้ความเชื่อถือในมาตรฐานการรักษาและวินิจฉัยโรค เพราะมาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลศิริราช หรือ โรงพยาบาทรามาธิบดี จึงไม่แปลกที่ในแต่ละวันมีคนเข้าใช้บริการจำนวนมากแทบล้นโรงพยาบาล สั่งสมชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนาน
แต่เมื่อรับ น.ช.ทักษิณ เข้ารักษาไม่ทราบว่าแพทย์ฝีมือลดลงหรืออย่างไร เพราะใช้เวลารักษากว่า 120 วันแล้วแพทย์ผู้รักษายังบอกว่าอาการยังน่าเป็นห่วง ทั้งที่ก่อน น.ช.ทักษิณ จะกลับมารับโทษโชว์ความฟิตผ่านสื่อโซเซียลให้เห็นเกือบทุกวัน
ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรงพยาบาลตำรวจจะถูกชาวบ้านบูลลี่ผ่านสื่อโซเซียลไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่ละบุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจ ที่มีหัวใจบริการรักองค์กรเกิดอาการกระอักกระอ่วนใจ อยู่ในอาการน้ำท่วมปาก ก้มหน้ารับสภาพไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เพื่อปกป้องเครดิตขององค์กรได้เพราะถูกกฎระเบียบค้ำคออยู่
ขณะที่ผู้นำองค์กรกลับสนองตอบอย่างเต็มที่ยอมรับบทหนังหน้าไฟ คอยรองรับการดูถูกเหยียดหยามจากองค์กรต่างๆ จนเกิดเสียงนินทาว่าได้ดีเพราะชั้น 14 แต่เกิดคำถามจากสังคมแพทย์ ถึงจรรยาบรรณทางการแพทย์ ถูกแทรกแซง เข้าข่ายผิดจริยธรรม ตามกฏระเบียบของ พ.ร.บ.ตำรวจฯปี 2565 หรือไม่.?
หากประเมินความเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกรมราชทัณฑ์ หรือโรงพยาบาลตำรวจ มองได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อผู้มีอิทธิพลและมากบารมี กระทำความผิดใดๆก็ตามพอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหากไม่หลุดที่ ต้นน้ำ กลางน้ำ แต่พอถึงปลายน้ำย่อมมีเส้นทางให้เดินแบบเหนือประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราเสมอ
กรณี น.ช.ทักษิณ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดเพราะแม้แต่โรงพยาบาลตำรวจที่มีมาตรฐานการรักษาที่สุดระดับท็อปไฟว์ของประเทศ ประชาชนทุกภาคส่วนยอมรับมายาวนาน ผู้นำองค์กรยังยอมสิโรราบเอาชื่อเสียงขององค์กรให้สังคมบูลลี่แบบไม่ใยดี !!!