หากจับอาการของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะนิ่งเงียบเป็นพิเศษ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุที่ คณะรัฐมนตรี(ครม.)มติสั่งเด้งฟ้าผ่า พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ไปนั่งตบยุงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ซึ่งแตกต่างกับอาการในวงประชุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ก่อนบินไปประชุมเอเปคที่สหรัฐอเมริกา ที่แสดงอาการขึงขังเอาจริงเอาจังถามรุกไล่เชิงตำหนิการทำคดีหมูเถื่อนกับพ.ต.ต.สุริยาว่า”จัดการให้มันเร็วๆหน่อยไม่ได้เหรอ ผมสั่งการไปแล้วก็ไม่ทำ ไม่หาตัวรายใหญ่เข้าถึงตัวไม่ได้สักที” แถมพอบินไปถึงสหรัฐอเมริกายังกำชับข้ามประเทศอีก พอกลับมากำชับอีกรอบพร้อมขีดเส้นให้จบใน 7 วัน เป็นท่าทีดุจพญาเสือ
ระหว่างนั้น พ.ต.ต.สุริยา เดินหน้าลุยเต็มสูบ เพราะมั่นใจว่านายเศรษฐาจะเป็นกำแพงให้พิง แจ้งข้อหาสองพ่อลูกบริษัทนำเข้าหมู บุกค้นห้างค้าปลีกรายใหญ่ของเจ้าสัว ท่ามกลางเชียร์กระหึ่ม บุกค้นห้างเพียงแค่ชั่วข้ามคืน พ.ต.ต.สุริยา ถูกสั่งเด้งฟ้าผ่า นายเศรษฐาที่แสดงอาการดุจพญาเสือกลายเป็นแมวนอนหวด เพราะข่าวลือสะพัดว่าพ.ต.ต.สุริยา เดินชนปังตอเข้าแล้ว กำแพงเหล็กของนายเศรษฐากลายเป็นปุยนุ่นในพริบตา
ซึ่งนายเศรษฐา ชี้แจงว่า”ไม่เกี่ยวทำงานแล้วไปเจอตอใหญ่ ผมเชื่อว่าเรื่องไปเจอตอใหญ่ข้าราชการทุกคนไม่มีใครกลัว ทุกคนพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็ม……..”
พร้อมระบุว่าหากมองเป็นการเมืองหมายถึงนายกรัฐมนตรีไปก้าวก่ายขอย้ำว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน หากมองเป็นการเมืองแล้วรัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรมไปย้ายก็ใช่เป็นไปตามที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง บอก..”
อยากให้ นายเศรษฐา มองประเด็นข้าราชการทุกคนไม่มีใครกลัว เสียใหม่ เพราะที่ผ่านมาคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆที่คดีไม่คืบเพราะข้าราชการไร้กำแพงพิงไม่กล้าลุยแบบสุดขั้ว เพราะต่างรู้ว่าผลลัพธ์จะเกิดกับตัวเองแบบฟ้าผ่าเสมอ
ย้อนดูคดีหมูเถื่อนเกิดมากว่า 2 ปีแล้วในปี 2564 จับกุม 14 ราย น้ำหนัก 236,117 กิโลกรัม(กก.)ปี 2565 จับกุม 25 ราย น้ำหนัก 431,660 กก.และปี 2566 จับกุม 181 ราย น้ำหนัก 4,772,037 กก.
ผลจับกุมได้ผู้กระทำผิดแบบปลาซิวปลาสร้อย ไม่กล้าสาวต่อ เพราะในทางสืบสวนเจ้าหน้าที่รู้อยู่เต็มอกว่าหมูเถื่อนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับรัฐมนตรีและเจ้าสัวระดับประเทศ ไม่กล้าสาวต่อแม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียุคนั้นยังไม่กล้าขยับ ข้าราชการเลยไม่กล้าลุยต่อเพราะไร้กำแพงพิง
ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดกับ พ.ต.ต.สุริยา เพราะมั่นใจว่ามีกำแพงพิง แต่สุดท้ายก็ถูกทอดทิ้ง แม้ พ.ต.อ.ทวี จะออกมาแก้ต่างว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ เป็นการโยกย้ายแทนตำแหน่งอื่นไม่มีการกลั่นแกล้งหรืออคติใดๆและไม่เกี่ยวข้องกับคดีหมูเถื่อน”
“เนื่องจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม มีความสำคัญที่ต้องขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงในภาพรวม กำกับงานของกรมในกลุ่มภารกิจ พ.ต.ต.สุริยา มีประสบการณ์ผ่านงานระดับอธิบดี ที่ปรึกษาหลายหน่วยงาน เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ เหมาะสมกับตำแหน่งรองปลัดฯ”พ.ต.อ.ทวีให้เหตุผล
คำชี้แจงนี้ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมต่างรู้ว่าเป็นการแก้เกี้ยวปกป้องรัฐบาลให้ดูดี เพราะต่างรู้กันดีว่ารองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นยักษ์ไม่มีกระบอก หากปลัดฯหรือรัฐมนตรีไม่มอบหมายงานแบบเด็ดขาด จะนั่งตบยุงไปวันๆ รสชาตินี้ พ.ต.อ.ทวี เคยลิ้มลองมาแล้วไม่ใช่หรือว่าข่มขื่นแค่ไหน
หรือหากการเด้งพ.ต.ต.สุริยา เป็นไปตามครรลอง พ.ต.อ.ทวี ต้องเสนอตั้งอธิบดีดีเอสไอ ไปพร้อมๆกัน แต่กลับปล่อยว่าง แถมมีข่าวสะพัดว่า พ.ต.อ.ทวี กำลังจัดทัพกระทรวงยุติธรรมใหม่ ดึงคนใกล้ชิดมานั่งในตำแหน่งสำคัญ รวมทั้งตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งคนในกระทรวงยุติธรรมได้เขียนชื่อพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอแปะไว้ที่เก้าอี้อธิบดีแล้ว เพราะพ.ต.ต.ยุทธนา เคยอยู่หน้าห้องพ.ต.อ.ทวี สมัยเป็นอธิบดีดีเอสไอ ติดตามไปทุกที่เสมือนคนสนิท
ในรัฐบาลชุดนี้พ.ต.อ.ทวี ได้รับความไว้วางใจจากคนชั้น 14 ค่อนสร้างสูง จึงมีกำลังภายในสูงไปด้วย เพราะสามารถผลักดัน พ.ต.อ.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ข้ามห้วยไปนั่งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)ตำแหน่งเดิมของพ.ต.อ.ทวี ที่มากด้วยผลประโยชน์ สำเร็จมาแล้ว
ดังนั้นหากมองจากภาพที่ประเมินพออนุมานได้ว่าการเด้งฟ้าผ่า พ.ต.ต.สุริยา เปรียบเสมือนรัฐบาลยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ตัวแรกเอาใจนายทุนใหญ่พร้อมปรามข้าราชการไปในตัวว่าถ้าแตะนายทุนใหญ่จะจบแบบไม่สวย ตัวที่ 2 เปิดช่องให้ พ.ต.อ.ทวี ได้จัดทัพในกระทรวงยุติธรรมเสียใหม่ปูนบำเหน็จให้คนใกล้ชิดได้เจริญรุดหน้า
แต่เพื่อไม่ให้ข้อวิจารณ์ข้างต้นเป็นจริง นายเศรษฐา จะต้องสั่งเร่งรัดให้คดีหมูเถื่อนจบแบบต้นตอใหญ่ติดคุก ยึดทรัพย์ ประชาชนถึงจะเชื่อว่าการย้ายฟ้าผ่าพ.ต.ต.สุริยา ไม่ใช่เพราะชนตอ แต่ย้ายเพราะคดีอืด !!!