ปธ.ศาลฎีกา แถลงผลการดำเนินงาน“รักศาล ร่วมใจ รับใช้ประชาชน”

252

“โชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ” ประธานศาลฎีกา แถลงผลการดำเนินงาน ตามนโยบาย “รักศาล ร่วมใจ รับใช้ประชาชน” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566


วันนี้ (22 กันยายน 2566) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมสัญญา ธรรมศักดิ์  อาคารสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
นายโชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ ประธานศาลฎีกาคนที่ 48 แถลงสรุปผลการดำเนินงานภายใต้นโยบาย “รักศาล ร่วมใจ รับใช้ประชาชน” ในวาระดำรงตำแหน่ง นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 ถึงเดือนกันยายน 2566

นายโชติวัฒน์ กล่าวว่า นับตั้งแต่มาดำรงตำแหน่ง ได้วางแผนดำเนินการและเร่งขับเคลื่อนนโยบายให้สำเร็จตามเป้าหมาย มุ่งเน้นการสร้างความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจระหว่างบุคลากร ศาลยุติธรรมเพื่อร่วมกันอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป้าหมายสูงสุด คือการ “รับใช้ประชาชน” ให้สามารถเข้าถึงการบริการของศาลยุติธรรมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว  และเท่าเทียมกัน โดยการดำเนินตามนโยบายทั้ง 3 ด้าน ปรากฏผลดังนี้


    (1) “รักศาล” ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นมา ได้ออกตรวจเยี่ยมศาลและหน่วยงาน ในสังกัดศาลยุติธรรมทั่วประเทศ เพื่อรับฟังปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน รวมทั้งติดตาม ให้คำแนะนำและวางแนวทางในการบริหารจัดการคดี โดยเลือกลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศาลยุติธรรมในภาค 9 เป็นลำดับแรก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และเป็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานให้แก่บุคลากร จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจนครบทุกภาค จึงได้เห็นถึงการพัฒนาระบบงานของศาลยุติธรรม และความเปลี่ยนแปลงด้านการบริหาร จัดการคดี ซึ่งเมื่อพิจารณาอัตราคดีแล้วเสร็จและการบริหารจัดการคดีที่ค้างพิจารณาเกินเกณฑ์มาตรฐาน แล้วพบว่าอัตราแล้วเสร็จของคดีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยศาลที่สามารถบริหารจัดการคดีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ที่เรียกว่าศาลสีเขียวนั้น จากเดิมสถิติวันที่ 1 ตุลาคม 2565  มีจำนวน 79ศาล จนเมื่อวันที่ 31สิงหาคม 2566 ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 146 ศาล และภายในปีงบประมาณนี้มีอีกหลายศาลที่มีแนวโน้มเป็นศาลสีเขียวได้ ส่วนกลุ่มศาลที่มีแนวโน้มจะกลับเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐาน หรือศาลสีเหลือง เดิมมี
จำนวน 25 ศาล ก็เพิ่มขึ้นเป็น 48  ศาล สำหรับกลุ่มศาลที่มีคดีค้างพิจารณาเกินเกณฑ์มาตรฐานที่ต้องเร่งดำเนินการและติดตามกำกับดูแล หรือศาลสีแดง เดิมมี 171  ศาล ขณะนี้จำนวนลดลงเหลือ
81 ศาล และเมื่อติดตามอัตราคดีแล้วเสร็จ ปรากฏข้อมูลว่าระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่
31 สิงหาคม 2566 ศาลชั้นต้นทั่วประเทศดำเนินการได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถพิจารณาคดี
แล้วเสร็จถึงร้อยละ 85.03 ของคดีที่ค้างมาและรับใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งการบริหารจัดการคดีที่มีประสิทธิภาพนี้ ส่งผลให้คดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้วเสร็จไปโดยไม่ล่าช้า และประชาชนผู้มีอรรถคดีได้รับการคุ้มครองเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างรวดเร็ว ขณะที่การมุ่งเสริมสร้างประสิทธิภาพงานของศาลยุติธรรม เราพร้อมพัฒนาบุคลากรผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญด้วยการสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนฝึกอบรมต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ให้แก่ข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม
และข้าราชการศาลยุติธรรม เพื่อเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน ตลอดจน จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและระบบการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดสำนักงาน
ศาลยุติธรรมต่าง ๆ ขณะที่ชมรมคู่สมรสตุลาการศาลยุติธรรมยังมอบทุนการศึกษาแก่บุตรของข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างในหน่วยงานสังกัดศาลยุติธรรมด้วย

(2) “ร่วมใจ” ในโอกาสที่ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศาล ประธานศาลฎีกาเน้นย้ำเสมอถึงการ ร่วมโครงการจัดประกวดคัดเลือกศาลดีเด่นเพื่อประชาชน โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บุคลากรมีความตื่นตัวในการทำงาน ให้ศาลทุกแห่งทั่วประเทศมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม รวดเร็ว โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงประโยชน์ ของประชาชนเป็นสำคัญ โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากศาลทั่วประเทศ มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน และปรับปรุงการให้บริการให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น โครงการนี้จึงนับได้ว่าส่งเสริมให้บุคลากรมีเป้าหมายในการทำงานเพิ่มขึ้น และเป็นการแข่งขัน ที่ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือ “ประชาชน”  นอกจากเป้าหมายการร่วมใจพัฒนาศักยภาพการทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนแล้ว การเพิ่มประสิทธิภาพของการพิจารณาคดีก็เป็นข้อสำคัญต่อการอำนวยความยุติธรรมภายใต้ความรวดเร็ว เป็นธรรม ทั่วถึง และมีมาตรฐานเดียวกัน ประธานศาลฎีกาจึงได้ออกข้อบังคับ ข้อกำหนด ระเบียบ รองรับการบังคับใช้กฎหมายใหม่ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ดังนี้

ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกำหนดมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2566 เป็นการกำหนดวิธีพิจารณาของศาลให้สอดรับกับหลักการตามพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 เพื่อปกป้องสังคมจากผู้กระทำความผิดที่มีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรมในรูปแบบเดียวกันหรือรูปแบบใกล้เคียงกันซ้ำอีก โดยมุ่งฟื้นฟูแก้ไขผู้กระทำความผิดควบคู่ไปกับการคุ้มครองและเคารพในสิทธิของบุคคลดังกล่าวอย่างเหมาะสม 
ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการกำหนดระยะเวลาการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลยุติธรรม พ.ศ.2566  เพื่อให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในการพิจารณาในเรื่องขั้นตอนต่าง ๆ โดยประชาชนสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้โดยง่าย  และทราบถึงเหตุแห่งความล่าช้าในการดำเนินการ ตลอดจนกำหนดระยะเวลาที่คาดว่าจะแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด สามารถตรวจสอบความคืบหน้าของการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมได้ ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีความผิดทางพินัย พ.ศ.2566เพื่อกำหนดหลักการในการดำเนินคดีความผิดทางพินัยในชั้นศาล โดยคำนึงถึงความสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม  และไม่เป็นภาระแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องจนเกินสมควร รวมถึงการคุ้มครองและแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ
คำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการบริหารจัดการคดีที่พิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์ในศาลชั้นต้น พ.ศ. 2566 เพื่อให้การบริหารจัดการคดีและการประสานงานกับคู่ความในคดีที่พิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปโดยรวดเร็ว เรียบร้อย และเป็นแนวทางเดียวกัน

(3) “รับใช้ประชาชน” ปัจจุบันศาลยุติธรรมได้ปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน และนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาให้บริการทางคดีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
แก่คู่ความในคดี และประชาชนในการติดต่อราชการศาล ดังนี้ การจัดทำโครงการเชื่อมโยงข้อมูลคดีบุคคลล้มละลายของศาลล้มละลายกลางกับศาลยุติธรรม ทั่วประเทศ ดำเนินการภายใต้นโยบายร่วมใจระหว่างศาล ซึ่งเกิดประโยชน์ต่อการบริการด้านคดี และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนด้วย โดยพัฒนาระบบการสืบค้นข้อมูลบุคคลล้มละลาย
ผ่านระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม หรือซีออส (CIOS) ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการดำเนินคดี  โดยหากพบว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ผู้ฟ้องคดีจะได้ใช้สิทธิตามกฎหมายในช่องทางที่เหมาะสมต่อไป
พัฒนาระบบยื่นคำคู่ความและเอกสารในคดีแรงงานผ่านระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม เพื่อให้บริการประชาชนในการยื่นฟ้องคดีแรงงานสำหรับบุคคลผู้เป็นลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และมีความประสงค์จะยื่นฟ้องนายจ้าง ซึ่งระบบดังกล่าวพัฒนาบนพื้นฐานของฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์
(e-Form) เต็มรูปแบบที่เปิดให้คู่ความสามารถกรอกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบคอมพิวเตอร์
โดยสามารถยื่นฟ้องได้เองผ่านระบบ CIOS
พัฒนาระบบยื่นคำร้องขอจัดการมรดกและตั้งผู้จัดการมรดกทางระบบ e-Filing สำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก ให้สามารถยื่นคำร้องขอจัดการมรดกได้ด้วยตนเอง  ใน 2กรณี คือ กรณีทายาททุกคนยินยอมให้ผู้ร้องนั้นเป็นผู้จัดการมรดก (ไม่มีการคัดค้าน) และกรณีที่มีข้อกำหนดในพินัยกรรมให้ผู้ร้องนั้นเป็นผู้จัดการมรดก พัฒนาระบบจัดทำหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด และหมายบังคับคดีในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ โดยเปิดให้ประชาชนหรือคู่ความสามารถยื่นขอหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดและหมายบังคับคดีในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Filing ซึ่งสิ่งพิมพ์ที่ออกจากระบบจะอยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้การรับรองตามกฎหมาย และสามารถนำไปยื่นเพื่อติดต่อ ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้ จัดทำระบบตรวจสอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ออกของสำนักงานศาลยุติธรรม โดยสามารถตรวจสอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ได้ผ่านทางเว็บไซต์ https://validation.coj.go.th/ ซึ่งเป็นการรองรับระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ และรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้ พัฒนาระบบสารสนเทศสำนวนคดีศาลชั้นต้นระยะ3 (CIMS3) เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ในศาลยุติธรรม ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติคดี ระยะเวลาการพิจารณาพิพากษาคดี ตลอดจนสร้างฐานข้อมูลคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของทุกศาลทั่วประเทศ เพื่อมาใช้ประกอบการตัดสินใจในการวางแผนการบริหารจัดการคดีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชน พัฒนาระบบยื่นคำคู่ความและเอกสารในคดีความผิดทางพินัยผ่านระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม  เพื่อรองรับการยื่นฟ้องคดีความผิดทางพินัยจากสำนักงานอัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสามารถ ยื่นคำฟ้องและเอกสารในคดีความผิดทางพินัยผ่านระบบ e-Filing ได้ ซึ่งจะช่วยให้การยื่นฟ้อง และการพิจารณาพิพากษาคดีมีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากการพัฒนานวัตกรรมศาลยุติธรรมเพื่อประชาชนแล้ว ประธานศาลฎีกายังให้ ความสำคัญต่อการสร้างโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากระบวนการยุติธรรมและบริการของศาลยุติธรรม ด้วยการจัด “โครงการ Justice by Design : กระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนออกแบบได้” และ “โครงการ e-Hearing Design Lab : ร่วมออกแบบกระบวนการบันทึกคำเบิกความพยานด้วยภาพ และเสียงที่เป็นมิตรกับทุกคน” โดยให้ประชาชนผู้ใช้บริการเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นผู้ออกแบบบริการศาลยุติธรรมด้วยตนเอง อันจะทำให้การบริการของศาลยุติธรรมตอบสนองต่อความต้องการ ของประชาชน และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการศาลยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง

ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมกำลังนำแนวคิด ข้อเสนอแนะของประชาชนมาปรับใช้และพัฒนาให้มี
ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมสนับสนุนให้ศาลในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ศึกษาและนำแนวคิดการออกแบบนวัตกรรมของประชาชนไปปรับใช้ผ่านการประกวดศาลดีเด่นอีกด้วย จากผลสัมฤทธิ์ภารกิจด้านต่าง ๆ ที่ได้ประจักษ์แจ้งตลอดช่วงปีที่ผ่านมานั้น เห็นได้ว่า
ศาลยุติธรรมของเราพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้า ทุ่มเทในการทำงานเพื่ออำนวยความยุติธรรม
ให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม เสมอภาค และทั่วถึง ด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ
ของศาลยุติธรรมและนโยบายที่ถือความต้องการของประชาชนผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง

#thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์