หน้าแรกกระบวนการยุติธรรมศาลฯมีคำสั่งรับฟ้องหลัง"ทนายยงยุทธ"ยื่นฟ้อง กกต. กับพวกรวม 7 คน ฐานความผิดฯ ม.157 เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง

ศาลฯมีคำสั่งรับฟ้องหลัง”ทนายยงยุทธ”ยื่นฟ้อง กกต. กับพวกรวม 7 คน ฐานความผิดฯ ม.157 เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง

ศาลฯมีคำสั่งรับฟ้องหลัง”ทนายยงยุทธ”ยื่นฟ้อง กกต. กับพวกรวม 7 คน ฐานความผิดฯ ม.157 เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ทั้งยังส่งเรื่อง”นายพิธา”ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยคุณสมบัติ ศาลฯนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา”8 สิงหาคม 2566 เวลา 09.30น.

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ผู้สื่อข่าวรายว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา เวลา (16.20น.)​ นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต ยื่นฟ้องนายอิทธิพร บุญประคอง ที่ 1 กับพวก รวม 7 คน ว่า โจทก์เป็นหนึ่งในจำนวนคนไทย
หลายหมื่นที่ลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชี
รายชื่อ เขต 8 มีนบุรี กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิ
ออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศที่เลือกผู้สมัครและพรรคก้าวไกลรวมมากกว่าสิบสี่ล้านคน เมื่อวันที่ 19
พฤษภาคม 2566 โดยคาดหวังว่าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และได้นายพิธา
ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคฯซึ่งมีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทย
คนต่อไป โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ดำรงตำแหน่งประธาน
กรรมการการเลือกตั้ง ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลายฉบับ เช่น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พ.ศ.2560 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
มีหน้าที่กำกับดูแลงานในความรับผิดชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นกรรมการการเลือกตั้ง โดยมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลายฉบับเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 7 เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง มีหน้าที่กำกับ ดูแลงานโดยทั่วไป งานธุรการ ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบประกาศและมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง งานในหน้าที่นายทะเบียนพรรคการเมือง กำกับดูแลพรรคการเมือง,การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง

โดยจำเลยที่ 7 ขึ้นการบังคับบัญชากับจำเลยที่ 1
ระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2566 ต่อเนื่องถึงวันที่ 13,กรกฎาคม 2566 เวลากลางวันและกลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยทั้งเจ็ดได้บังอาจกระทำผิดเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนา ร่วมกันออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา โดยจำเลยที่ 1 เป็น ผู้ลงนามในประกาศดังกล่าว กำหนดวันรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจำเลยทั้งเจ็ดโดยทุจริต เจตนาร่วมกันแบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ออกแบบบัตรเลือกตั้งทั้งการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อให้แตกต่างจากการเลือกตั้งหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา พิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินกว่าจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่าเจ็ดล้านใบ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศไม่เข้าใจ หรือสับสนวุ่นวาย รวมทั้งออกระเบียบ ประกาศต่างๆ ในลักษณะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พรรครัฐบาลเดิมชนะการเลือกตั้งและได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 จำเลยทั้งเจ็ดก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนนิยมฝ่ายรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน โดยก่อน ขณะ หรือหลังรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค
การเมือง จำเลยทั้งเจ็ดมีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนว่าผู้ใดไม่มีคุณสมบัติและ,หรือขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามกฎหมาย แต่จำเลยทั้งเจ็ดหาได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของพวกตนไม่จนปล่อยล่วงเลยมาจนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป คือวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองหนึ่ง มายื่นคำร้องต่อจำเลยทั้งเจ็ดกล่าวหาว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อไอทีวี จำนวนเพียงประมาณ 42,000 หุ้น ในจำนวนหลายล้านหุ้น จึงอาจหรือขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และต่อมามีผู้ยื่น
ข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน แต่จำเลยก็ไม่ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัย
โดยพลันตามกฎหมาย หรือไม่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยทั้งเจ็ด
ก็ทราบดีว่าคล้ายกับกรณีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครสมาชิกผู้แทนราษฎร จังหวัดนครนายก ที่ถูกพวกจำเลยทั้งเจ็ดเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

ต่อมาเมื่อ วันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ศาลฎีกามีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ ลต.สสข.9/ 2566 คดีหมายเลขแดงที่ ลต.สสข.24 / 2566 คืนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้แก่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัดนครนายก กรณีถูกกล่าวหาว่า นายชาญชัย ถือหุ้นสื่อเพียงประมาณ 200 หุ้นในจำนวนหลายล้านหุ้น ทั้งโจทก์ได้ส่งหนังสือคัดค้านและชี้แจงให้จำเลยที่ 1 และที่ 7 ฉบับลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 จำเลยทั้งเจ็ดได้มีหนังสือด่วนที่สุดไปถึงนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และผู้เกี่ยวข้อง แจ้งคำสั่งศาลฎีกาคืนสิทธิให้แก่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ดังกล่าว ทั้งนายพิราเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 4 ปี หรือ 1 สมัยจนครบวาระ ครั้งนี้เป็นการสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ของนายพิธา การกระทำของจำเลยทั้งเจ็ด
ดังกล่าวข้างต้นที่ไม่รีบดำเนินการสืบสวน ไต่สวน วินิจฉัย หรือส่งศาลฎีกา มีคำสั่งหรือคำพิพากษาต่อไป
ตามกฎหมาย

กรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกร้องเรียนดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์หรือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับความเสียหาย เมื่อระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ต่อเนื่องกันถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนาร่วมกันศาลอาญาคดีทุจวิตและประพฤติมิชอบกลางก่อนประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำเลยทั้งเจ็ดมีพฤติการณ์ที่น่าเคลือบแคลงสงสัย
หลายประการ เช่น ประกาศผลการเลือกตั้งได้ช้ากว่าที่ควร จำเลยทั้งเจ็ดปฏิเสธไม่รับความช่วยเหลือ
จากหน่วยหรือองค์กรเอกชน และไม่เลือกใช้การสื่อสารที่ทันยุคทันสมัยแต่อย่างใด โดยผลการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ปรากฎว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่าสิบสี่ล้านคนรวมทั้งโจทก์ด้วยเลือกพรรคก้าวไกล จนพรรคก้าวไกลได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับหนึ่งคือได้จำนวน 151 คน โดยโจทก์และผู้ลงคะแนนเสียงเลือกนายพิธา และพรรคก้าวไกลเหตุเพราะเห็นว่านายพิธา เป็นคนมีความรู้ความสามารถสูงเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังจะให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่จำเลยทั้งเจ็ดโดยทุจริต เจตนาร่วมกัน กลั่นแกล้งนายพิธา ด้วยการประชุมวินิจฉัย ลงมติ หรือมีความเห็นร่วมกันส่งเรื่องที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ถูกร้องเรียนว่าถือหุ้นสื่อไอทีวี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลการเมือง อย่างเร่งรีบ เพื่อให้วินิจฉัยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่มีคุณสมบัติและหรือขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพราะถือหุ้นสื่อ และขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

โดยจำเลยทั้งเจ็ดมิได้ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน ตามอำนาจหน้าที่ หรือตามขั้นตอนของกฎหมายแต่อย่างใด อันเป็นการดำเนินการก่อนหรือขณะวันโหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 เพื่อลดความน่าเชื่อถือของนายพิธา และพรรคก้าวไกลต่อสมาซิกรัฐสภา ทั้งที่นายพิธา เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจนครบหนึ่งสมัยหรือสี่ปีแล้ว
ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้ใดร้องคัดค้านแต่อย่างใด จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
หรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์และ,หรือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับความเสียหายเหตุเกิดที่ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำสั่งให้รับคดีไว้เพื่อตรวจพ้องให้นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา วันที่ 8 สิงหาคม 2566 เวลา 09.30 น.

#thaitabloid

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img