“โปรดเห็นหัวประชาชนจริงจังสักที..!!!

การเลือกประธานสภา ในฐานะหัวเรือใหญ่ฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ผ่านไป ดูเหมือนจะสงบราบรื่น แต่ใต้พรม หลังม่านของการเจรจาเกิดอะไรระหว่างทางมากมาย ทั้งที่จะว่าไปแล้ว “ความคาดหวังของประชาชน” ที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งค่อนข้างชัดเจนว่า พี่น้องต้องการความเปลี่ยนแปลงในระดับไหน ที่แน่ๆคือไม่เอาคนเก่าๆและวิธีคิดแบบเก่าๆเป็นแน่แท้ ทำให้การบริหารงานที่จะยากที่สุดหลังจากนี้ คือการบริหารความคาดหวังของประชาชน ที่เขาส่งเสียงเรียกร้องตลอดทาง ดังนั้น “หลักการ” และ “การฟังเสียง” หรือ “การเห็นหัวประชาชน” ที่เลือกผู้แทนของเขาเข้าไปทำงานเพื่อชาวบ้าน เพื่อคนทุกคน เป็นเส้นทางหลักที่คนที่จะเข้ามามีอำนาจรับไม้ต่อด้วยโจทย์นี้ไป
อย่างไรก็ตาม การเจรจาอะไรทุกครั้ง “เข็มทิศ” ที่คนในแวดวงการเมืองใช้ กลับไม่ใช่ “เสียงสะท้อนจริงจากประชาชน” อย่างที่ควรจะเป็นนัก ด้วยกล ด้วยมนต์คาถา ต่อตำแหน่ง แบ่งเค้กกันเหมือนกับว่าการเมืองแบบเก่าๆยังคงเป็นอิทธิพลหลักในสนามการเมืองไทยยังไงยังงั้น
ขึ้นชื่อว่าการเมือง ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าคือการแบ่งปันผลประโยชน์ แต่ปลายทางที่กว่าจะนำมรรคผลของการจัดสรรตำแหน่ง แล้วไปดำเนินนโยบาย จนสุดท้ายผลตกมาถึงมือประชาชน กลับใช้เวลายาวนาน และไม่รู้ว่าจะได้ส่งมอบพันธกิจที่จะยกระดับคุณภาพชีวิต พี่น้องประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ หรือต้องฟังใคร ให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เดินหน้าถอยหลัง หรือเปล่า ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของคนไทย ที่ได้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันอย่างเต็มที่ แต่รอยน้ำหมึกกากบาทจากปากกนั้นอาจเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อให้ผ่านการรับรอง ว่า “ฉันผ่านการเลือกตั้ง” มา และฉันเล่นเกม ฉันเล่นการเมือง ฉันสามารถรวมเสียง ฉันสามารถต่อรอง ฉัน… ทุกอย่างคือโจทย์ที่ตั้งว่า “ฉัน” และ “พวกของฉัน” ซึ่งในสมการนั้นอาจจะ “หลงลืม” ประชาชนไปหรือไม่ ?
ถ้าใครความจำไม่สั้นนักย้อนไปไม่กี่เดือน ไม่กี่สัปดาห์ ทุกการเดินสายหาเสียง ทุกการขึ้นเวทีดีเบต ตลอดจนป้ายทุกป้าย โฆษณาในโซเชียลทุกทางต่างพูดเหมือนกันทุกพรรคว่าจะ “ฟังเสียงประชาชน” จะทำเพื่อประชาชน จนถึงวันนี้สิ่งที่สัญญาประชาคมเอาไว้ ยังสำคัญและมีน้ำหนักหรือไม่ เราคงได้เห็นภาพลางๆกันแล้ว
การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะมาถึงไม่กี่วันข้างหน้า (13กรกฎาคม) ถ้าเสียงประชาชนยังมีความหมาย เจตนารมณ์ประชาชนยังคงสำคัญ ผู้ที่เกี่ยวข้องการกับโหวตทุกท่าน ควรเปิดตา เปิดใจ และทำให้ครรลองที่ถูกต้องเดินไปตามทางที่ควรจะเป็น และท่องใส่กะโหลกเอาไว้ว่า ถ้าไม่ดี4ปีเลือกใหม่ได้ ดีกว่าการไปฝืนเจตนารมณ์ประชาชน ผ่านการรวมเสียงเล็กๆน้อยๆหรือ “บิดเบี้ยว” เจตจำนงที่ประชาชนแห่กันออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประเทศชาติเราอยู่กับความไม่ปกติมามากเกินไปแล้ว ปัญหาประชาชนหมักหมมทับถม รอคนที่มีศักยภาพจริงๆมาแก้นานแล้ว อย่าปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คน ทำลายชีวิตประชาชนอีกต่อไปอีกเลย ฟางเส้นสุดท้าย ไพ่ใบสุดท้ายในมือใครก็ตาม หากจะหงายไพ่อะไรออกมา โปรดพิจารณาเสียงจากประชาชนด้วยเถิด อย่าให้เกิดปัญหาจนทำให้ประเทศ สะดุด จนทำให้มีคนมาฉุดมาฉวยโอกาส ดึงประเทศชาติไปปู้ยี่ปู้ยำ จนยิ่งกว่าถอยหลังลงคลอง วนกันอยู่ในอ่างไม่รู้จบ
ประเทศชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ประชาชนทุกคนควรมีส่วนร่วม ภายใต้กฎหมาย และในกติกาที่สากลโลก ประเทศที่เขาการเมืองนิ่งปกติดำเนินไป หากมีครรลอง หากมีขั้นตอนกติกาที่ชัด ประชาชนมีความหมาย อย่างไรเสีย คนไหนทำงานไม่เป็น ใครทำไม่ได้ ไม่ถูกใจ มีกลไกในระบบปกติมากมายแบบในหลายชาติเขาใช้ นำเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ต้องมีอีแอบที่ไหน ที่ไม่เคยฟังเสียงประชาชนมาเป็นตาอยู่ มาหลอกว่าจะเป็นกรรมการอีก เพราะคนเหล่านี้ ไม่เคยมีประชาชนอยู่ในหัวใจ ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังเสียงชาวบ้านตาดำๆ!
หวังว่าความปกติประเทศไทย จะได้เริ่มต้นตั้งแต่ 13 กรกฎาคม 2566 นี้เป็นต้นไป ….


