“เชื้อชั่วไม่มีวันตาย”(7)

แฟนคลับพรรคก้าวไกลยังคงลุ้นกันด้วยความระทึก เพราะเกมจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  นั่งนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนว่าจะก้าวห่างทำเนียบรัฐบาลออกไปเรื่อยๆ
                   


ยิ่งเห็นอาการของพรรคเพื่อไทย แสดงเจตจำนงขอตำแหน่งประธานรัฐสภา โดยอ้างพรรคอันดับ 2 และมีคะแนนห่างกับก้าวไกลแค่ 10 เสียง ประมุขฝ่ายบริหารและประมุขฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องแบ่งกันพรรคละ 1 ตำแหน่ง
                   
ขณะที่แกนนำก้าวไกลยังคงยืนยันขอทั้งสองตำแหน่ง เพื่อจะได้ผลักดันออกกฎหมายใหม่ๆและแก้ไขกฎหมายสำคัญตามที่ได้หาเสียงไว้
                   
“เมื่อเวลายิ่งทอดห่างออกไปแนวโน้มที่พรรคก้าวไกล จะได้เป็นแกนนำจัดรัฐบาลอาจวืด เอ็มโอยู 8 พรรคที่ทำกันอย่างมั่นเหมาะก็ส่อจะถูกฉีกทิ้ง”
                   

โฉมหน้ารัฐบาลใหม่จะออกมารูปแบบใดก็คงต้องคาดเดากันต่อไป เพราะการเมืองไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความพิสดาร
                         
นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือฝ่ายที่อ้างประชาธิปไตย ต่างมีสำนึกแค่ขออยู่ในอำนาจ ไปพร้อมๆกับตอบสนองความต้องการของนายทุนที่หนุนหลังมากกว่าที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชนที่เลือกมา
                       
ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน ความเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ประชาชนยากเห็นก็ห่างไกลเช่นกัน  
                       
ทั้งที่เหตุผลหลักที่ประชาชนเทเลือกก้าวไกลเพราะหวังลึกๆว่าจะช่วยขจัดเชื่อชั่วในรูปแบบต่างๆที่ฝังรากลึกอยู่แทบทุกวงการให้เบาบางลงบ้าง
                   
“แต่กลับกลายเป็นว่าในวงการเมืองเชื้อชั่วกำลังจะกลับมาฟื้นคืนชีพอีกคำรบหนึ่งแล้ว นั่นคือการช่วงชิงอำนาจกันระหว่าง 2 พรรคใหญ่โดยมิได้คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนแต่อย่างใด”

                     
ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคลากรในหน่วยราชการสำคัญๆ จะเดินเกมชิงอำนาจในลักษณะเดียวกับนักการเมือง โดยเฉพาะหน่วยงานที่มากไปด้วยผลประโยชน์เอื้อให้ผู้บริหารใช้ทุกช่องทางแสวงประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง
             
ซึ่งการหาผลประโยชน์ มีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันไป   แต่ที่บรรดาผู้บริหารนิยมใช้กันมากเพราะหากมีความผิดก็ปัดให้พ้นตัวได้ คือใช้การบริหารงานบุคคลเป็นเครื่องมือ
                 
ถ้าพูดกันตามประสาชาวบ้านก็คือการซื้อและขายตำแหน่ง ซึ่งในแวดวงราชการต่างทราบกันดีว่าในแต่ละกระทรวง มีกรม กอง ไหนหาประโยชน์ได้ทั้งใต้ดินและบนดิน ราคาเก้าอี้จะแพงเป็นพิเศษ
             
วิธีการซื้อขายและราคา จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลในยุคนั้นๆ บรรดารัฐมนตรีและลิ่วล้อจะหิวโซแค่ไหน และถ้าแกนนำรัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญหิวโซด้วยแล้วราคาเก้าอี้จะแพงเป็นพิเศษ
           
“บางกระทรวงถ้าเจอรัฐมนตรี หิวโซ โลภมาก ยิ่งมีบรรพบุรุษเคยเป็นนักการเมืองและนั่งในตำแหน่งเสนาบดีมาก่อน ก็จะรู้ช่องทางหาประโยชน์ได้แนบเนียน กระทรวงใดมีแค่รัฐมนตรีว่าการฯ โอกาสปากมันกินรวบเพียงผู้เดียวก็เป็นไปได้สูง”

             
หากกระทรวงใหญ่มีรัฐมนตรีหลายคน จะออกมาในรูปแบบกินกระจายคือกระจายไปสู่รัฐมนตรีช่วยที่กำกับดูแลกรมกองนั้นๆ แต่รัฐมนตรีว่าการฯจะยึดกรมใหญ่ๆ ที่มากด้วยงบประมาณและงานก่อสร้าง          
           
ขอยกตัวอย่างการซื้อตำแหน่งอธิบดีกรมใหญ่ กรมหนึ่ง ผู้ที่แคนดิเดตจะวิ่งเต้นเข้าหารัฐมนตรีเพื่อเจรจาขอซื้อตำแหน่งอธิบดี
         
เมื่อรัฐมนตรีรับทราบพร้อมตกลงราคากันเรียบร้อยแล้วก็จะมีตัวแทนของรัฐมนตรี ซึ่งตัวแทนจะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน บางหน่วยเรียกว่าพ่อบ้าน และบางหน่วยเรียกหัวเบี้ย เป็นต้น
         
จากนั้นทางผู้ซื้อก็จะวิ่งเต้นระดมทุนจากบริษัทต่างๆที่รับเหมางานของกรมหรืออาจจะเป็นบริษัทจากกรมอื่นที่ทุนหนาและอยากจะเข้ามารับงานในกรมนั้น เพราะเล็งแล้วว่าสามารถที่จะแสวงหาผลประโยชน์ได้มากขึ้นบวกกับอธิบดีก็อยู่ในคาถา
       
รูปแบบการจ่ายเพื่อซื้อตำแหน่งก็มีหลากวิธีเช่นกัน ในบางรัฐบาล รัฐมนตรีจะประเมินว่าถ้ามีเสถียรภาพสูง โอกาสอยู่ยาวครบ 4 ปี จะให้ผู้ซื้อจ่ายในราคาที่ไม่แพงมากหนัก อาจจะแค่หลัก 100 หรือ 200 แต่ในช่วงที่นั่งตำแหน่งก็ต้องจ่ายรายเดือนและตามวาระต่างๆให้อีกต่างหาก
       

อีกรูปแบบหนึ่งคือเหมาจ่าย หมายถึงจ่ายเพียงครั้งเดียวแต่ราคาสูงลิบ แต่ถ้าผู้ซื้ออยากให้มีความมั่นคงในตำแหน่งก็จะจ่ายให้ตามวาระ  เช่น วันเกิดของทั้งรัฐมนตรี ลูกและภรรยา และเทศกาลต่างๆ
             
ถามว่ามีหลักฐานหรือไม่ คงตอบว่าเป็นรูปธรรมคงไม่มี แต่สามารถสังเกตได้หลากหลายวิธี อาทิ ดูความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาตำแหน่งอธิบดีกรมนั้นๆ ถ้าเรื่องถูกตีกลับสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเคลียร์ผลประโยชน์กันไม่ลงตัว เป็นต้น
     
นี่คือรูปแบบการซื้อและขายตำแหน่งเพียงบางส่วน ตอนต่อไปจะขอนำเสนออีกหลายรูปแบบ ซึ่งการซื้อและขายตำแหน่งในวงราชการคือเชื้อชั่วที่เป็นอมตะนิรันดร์กาล โดยนักการเมืองที่มุ่งแต่แสวงหาประโยชน์คือตัวเติมเชื่อชั่วที่แท้จริง
     
ดังนั้นความหวังของประชาชนที่หวังจะให้นักการเมืองน้ำดีเข้ามาจัดการเชื้อชั่วทั้งหลายด้วยการเทเลือกพรรคก้าวไกลก็ส่อจะวืดอีกนะจ๊ะ !!!    

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img