เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 นายบุญเลิศ คชายุทธเดช อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ได้โพสน์ข้อความผ่านเฟสบุค ใจความระบุว่า : กรณีคลิปวีดิโอมีภาพเสียงการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ถูกเปิดเผยออกมาโดย ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผ่านรายการข่าว 3 มิติ ทางทีวีช่อง 3 พบว่าสาระที่พูดกับบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน เรื่องนี้มีปมเงื่อนสุดพิศวง พลันก็เกิดคำถามตามมา ดังนี้
1. วันที่ 12 มิถุนายน 2566 นายคิมห์ สิริทวีชัย กรรมการผู้อำนวยการบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)ได้ลงนามในหนังสือถึงกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง แจ้งกรณีที่เป็นข่าวของ บมจ.ไอทีวี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ระบุในหนังสือว่า
“ทางบริษัทได้รับทราบข้อมูลและได้ให้คณะกรรมการและฝ่ายจัดการของไอทีวีดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้น และหากมีประเด็นใดๆที่จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเทจจริง ทางไอทีวีจะดำเนินการให้เร็วที่สุด”
ทำไม นายคิมห์ไม่ตอบกับสังคมว่า คลิปวีดิโอดังกล่าวเป็นของจริงหรือของปลอม หรือมีการตัดต่อ หรือมีการเลียนเสียงหรือไม่ จะตอบรับหรือปฏิเสธกับคลิปวีดิโอ 3 นาที่ที่ฐปณีย์นำมาเผยแพร่
2. ในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ที่นายคิมห์ ลงนาม ร่วมกับนายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทานและแก้ไข เท่ากับว่า ทั้งสองได้อ่านและรับรองว่าสิ่งที่ถูกบันทึกทั้งหมด 14 หน้า มีความครบถ้วน ถูกต้อง
นายคิมห์ ควรยืดอกรับว่า ข้อความในรายงานการประชุมนั้นถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะลงนามร่วมกับนายจิตชายได้อย่างไร นั่นเท่ากับการยอมรับว่าตนเองได้พูดตอบคำถามนายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับสถานะของไอทีวี ดังนี้
“ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลปกติ”
แต่ถ้า ไม่ถูกต้องเพราะไม่ตรงกับคลิปวีดิโอ และคลิปวีดิโอเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ก็ควรยอมรับและขอโทษหรือยอมรับผิดกับผู้ถือหุ้น และคนในสังคมว่า ตัวเองบกพร่องที่ไม่ได้อ่านให้ละเอียดจึงเกิดความผิดพลาดขึ้น รวมทั้งนายจิตชายก็เช่นกัน
พร้อมกันนั้นก็ไปตรวจสอบเพื่อไล่เบี้ยว่า ทำไมคนที่ถอดเทปและเขียนรายงานการประชุมจึงเขียนออกมาเช่นนี้ หรือมีใครไปสั่งให้แก้ไข ซึ่งเป็นหนังคนละม้วนกับความจริงในคลิปวีดิโอ หากนายมิกม์อยู่เบื้องหลังก็ควรแสดงความรับผิดชอบ
3. นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นไม่ได้เป็นคนถามนายคิมห์ระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้น (ประชุมออนไลน์ ถามด้วยการเขียนข้อความ)
เขาให้สัมภาษณ์เนชั่นยอมรับ ดังนี้ “ผมถือหุ้นจริง แต่คนถามในที่ประชุมไม่ใช่ผมนะครับ เป็นรุ่นพี่ ที่ถามข้อมูลในที่ประชุม พี่โทรศัพท์ไปสอบถามได้นะครับ 081……คุณนิกม์
นักข่าวเนชั่นย้ำว่า “สรุปคุณภาณุวัฒน์ไม่ใช่ผู้สอบถามในทีประชุมผู้ถือหุ้น เป็นคุณนิกม์สอบถามนะครับ เดี๋ยวผมลองติดต่อคุณนิกม์”
นายภาณุวัฒน์ตอบว่า “จริงๆนั่งด้วยกัน แต่พี่เขายิงคำถามให้ครับ โอเคเนาะ”
มีคำถามว่า นายมิกม์ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น เนื่องจากได้โอนให้นายภาณุวัฒน์ไปแล้ว แต่มาเข้าร่วมประชุมออนไลน์และยังเป็นคนเขียนคำถามให้กับนายภาณุวัฒน์ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทมหาชนที่จะต้องยึดหลักธรรมาภิบาลหรือไม่
4. ในรายงานการประชุมไม่เรียงลำดับผู้ซักถามกล่าวคือ ได้นำคำถามของนายภาณุวัฒน์ซึ่งถูกถามแทนโดยนายมิกม์ ถามเรื่องสถานะไอทีวี นายคิมห์กล่าวตอบมาไว้ตอนท้ายทั่้งๆที่ได้ถามก่อน นายวิรัตน์ คล่องประกิจ ผู้ถือหุ้นเข้าประชุมด้วยตนเองได้สอบถามหลังนายภาณุวัฒน์และนายคิมห์กล่าวตอบมาไว้ก่อน
คำถามมีว่า ผู้ที่เขียนรายงานการประชุมมีวัตถุประสงค์อะไรที่สลับลำดับการซักถามและการตอบของนายคิมห์
5. นายอิทธิพล บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้งให้ข่าวว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของกกต.จะเรียกคลิปวีดิโอการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีมาประกอบการพิจารณา
คำถาม คือ จะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกากรณีนายพิธาถือหุ้นไอทีวีในฐานะผู้จัดการมรดกหรือไม่ฐานรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ และหลัง กกต.ประกาศรับรองการเป็นส.ส. กกต.จะยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมหรือไม่เพื่อให้นายพิธาพ้นตำแหน่งส.ส.หรือไม่
ปมเงื่อนก็คือ หาก กกต.กล่าวหานายพิธาว่ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติ กกต.จะมีพยานหลักฐานอะไรมาแสดง เพราะขณะนี้ไอทีวีก็ยังอลเวง กกต.ก็หาข้อหามูลมาประกอบการพิจารณา อีกทั้งนายพิธาก็ลงสมัครและเป็น ส.ส.มาตั้งแต่ปี 2562 ย่อมถือว่า นายพิธารู้แก่ใจตนเองว่า มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีลักษณะต้องห้าม
