หน้าแรกกระบวนการยุติธรรมศาลฯยกฟ้อง"ผบก.ปปป."ชุดจับกุม ถูกอดีตอธิบดีฯ"รัชฎา"ฟ้องม.157บุกจับคดีรับสินบน ชี้เป็นการปฎิบัติตามหน้าที่

ศาลฯยกฟ้อง”ผบก.ปปป.”ชุดจับกุม ถูกอดีตอธิบดีฯ”รัชฎา”ฟ้องม.157บุกจับคดีรับสินบน ชี้เป็นการปฎิบัติตามหน้าที่

ศาลฯมีคำพิพากษา ยกฟ้อง ผบก.ปปป. คดีมี่ถูกอดีตอธิบดีกรมอุทยาน ฟ้องตำรวจชุดจับกุมกับพวกรวม 7 คน จำเลย ข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ, ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ, บุกรุก,ซ่องโจรฯ

วันที่ 30 พฤษภาคม 2566 เวลา 9.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 29/2566ระหว่าง นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา โจทก์ พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว ที่ 1 กับพวกรวม 7 คน จำเลย ข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ, ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ, บุกรุก, ซ่องโจรฯ

ทนายโจทก์มาศาลศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษาให้ทนายโจทก์ฟังแล้ว โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2565 จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำให้จำเลย ที่ 7 ซึ่งแอบติดกล้องบันทึกภาพและเสียงไว้ที่ตัวเข้าไปพบและพูดซักจูงให้โจทก์ตกลงรับเงินหรือกำหนดจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ของเงินเพื่อเรียกรับเอาจากข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาผู้มีตำแหน่งหรือชื่อตามที่จำเลยที่ 7 สนทนาถึงและพยายามส่งมอบซองสีขาว 3 ซอง แก่โจทย์โดยโจทก็ไม่ทราบว่าภายในซองมีเงิน 98,000 บาท บรรจุอยู่ แต่โจทก์ปฏิเสธไม่รับ จำเลยที่ * วางซองทั้งสามซองไว้บนโต๊ะทำงานโจทก์แล้วออกจากห้องไป ทันใดนั้น จำเลยที่ 1 ถึง 6 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ร่วมกันบุกรุกเข้ามาภายในห้องทำงานของโจทก์ซึ่งเป็นที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นและหมายจับแล้วร่วมกันจับกุมโจทก์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157

ทั้งที่โจทก์ไม่ได้มีเจตนากระทำความผิดมาก่อน จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 200 โดยมีจำเลยที่ 7 เป็นผู้สนับสนุน และเป็นการที่จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179, 210, 310, 364,และ 365

ด้วย นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานขณะเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ด้วยการบันทึกวีดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของโจทก์และต้องสงวนไว้เป็นข้อราซการที่เป็นความลับ ปล่อยให้มีการนำดีโอภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงดังกล่าวเผยแพรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันกระทำความผิด
ศวลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 79

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่มีการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์เนื่องจากจำเลยที่ 7 เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ซ. เกี่ยวกับพฤติการณ์ทุจริตของโจทก์ที่ ป.ป.ช. สืบสวนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วเชื่อว่าคดีน่าจะมีมูลแต่ยังปราศจากหลักฐานที่จะ
ดำเนินคดีจึงประสานมายัง บก.ปปป. เพื่อดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงและเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 วางเผนตรวจค้นจับกุมโจทก์ตามที่ได้รับการประสานมาจากเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.

จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ซึ่งเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของโจทก์ ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ และไม่ใช่เป็นการร่วมกันก่อหรือพยายามก็ให้โจทก์กระทำความผิด และขณะที่จำเลยที่ 7 เข้าไปพบโจทก์ที่ห้องทำงานของโจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหน่วยงานอื่นติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 7 ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์โดยการโทรแบบกลุ่มทำให้ได้ยินการสนทนาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 7 ที่มี
เนื้อหาเกี่ยวกับการเรียกรับเงินและได้ยินจำเลยที่ 7 พูดคำว่า “อุบล” ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโจทก์ได้รับเงิน
ที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้แล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าไปยังห้องทำงานของโจทก็ในทันทีและตรวจค้นพบซองบรรจุเงินรวม 98,000 บาท ที่จำเลยที่ 7!นำไปมอบให้โจทก์อยู่ในลิ้นซักโต๊ะทำงานของโจทก์ กรณีจึงเป็นความผิดซึ่งหน้าซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าโจทก็ได้กระทำความผิดมาแล้วสดๆ ทั้งมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ เงินที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้นั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6

จึงมีอำนาจตรวจค้นจับกุมโจทก็โดยไม่ต้องมีหมายค้นและหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 78 (1 ) และมาตรา 92 (2 ) (4) เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากที่โจทก็แถลงต่อศาลใน
ชั้นตรวจฟ้องว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรรเคืองกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6
และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีรายชื่อในบันทึกการจับกุมท้ายฟ้อง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะชี้ให้เห็นว่าการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ครั้งนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้กระทำโดยมีเจตนาเพื่อที่จะกสั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษตามที่โจทก์อ้าง การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 ทั้งไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179
มาตรา 210, 310,
364,และ 365 จำเลยที่ 7 จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุนและผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6
ตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164,นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากที่
โจทก์แถลงต่อศาลในชั้นตรวจฟ้องว่า นอกจากจำเลยที่ 1,ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีชื่ออยู่ในบันทึกการจับกุมแล้ว ยังมีบุคคลอื่นอีกหลายคนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ขณะจับกุมโจทก์

โดยฝ่ายของโจทก์มีเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ซึ่งได้มีการบันทึกภาพและเสียงขณะตรวจค้นจับกุมด้วยเช่นกัน แต่โจทก์
ไม่ได้ชี้ช่องพยานหลักฐานให้เห็นว่าวีดีโอบันทึกภาพและเสียงที่ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชนนั้นเกิด
จากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 กรณีจึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 กระทำความผิดตาม
มาตรา 164 ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 79 นั้น
เมื่อการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก็ โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการทุจริตในวงราชการ ดังนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
มาตรา 79

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่มีการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์เนื่องจากจำเลยที่ 7 เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ซ. เกี่ยวกับพฤติการณ์ทุจริตของโจทก์ที่ ป.ป.ช. สืบสวนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วเชื่อว่าคดีน่าจะมีมูลแต่ยังปราศจากหลักฐานที่จะ
ดำเนินคดีจึงประสานมายัง บก.ปปป. เพื่อดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงและเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 วางเผนตรวจค้นจับกุมโจทก์ตามที่ได้รับการประสานมาจากเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ซึ่งเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของโจทก์ ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ และไม่ใช่เป็นการร่วมกันก่อหรือพยายามก็ให้โจทก์กระทำความผิด และขณะที่จำเลยที่ 7 เข้าไปพบโจทก์ที่ห้องทำงานของโจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหน่วยงานอื่นติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 7 ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์โดยการโทรแบบกลุ่มทำให้ได้ยินการสนทนาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 7 ที่มี
เนื้อหาเกี่ยวกับการเรียกรับเงินและได้ยินจำเลยที่ พูดคำว่า “อุบล” ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโจทก์ได้รับเงินที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้แล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าไปยังห้องทำงานของโจทก็ในทันทีและตรวจค้นพบซองบรรจุเงินรวม 98,000 บาท ที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้โจทก์อยู่ในลิ้นซักโต๊ะทำงาน
ของโจทก์ กรณีจึงเป็นความผิดซึ่งหน้าซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัย
เลยว่าโจทก็ได้กระทำความผิดมาแล้วสดๆ

ทั้งมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ เงินที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้นั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงมีอำนาจตรวจค้นจับกุมโจทก็โดยไม่ต้องมีหมายค้นและหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (1) และมาตรา 92(2) (4)

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากที่โจทก็แถลงต่อศาลใน
ชั้นตรวจฟ้องว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรรเคืองกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6
และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีรายชื่อในบันทึกการจับกุมท้ายฟ้อง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะชี้ให้เห็นว่าการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ครั้งนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้กระทำโดยมีเจตนาเพื่อที่จะกสั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษตามที่โจทก์อ้าง การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157!และ 200 ทั้งไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179’มาตรา 210,310
346!และ 365?จำเลยที่ 7 จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุนและผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 นั้น

ข้อเท็จจริงได้ความจากที่โจทก์แถลงต่อศาลในชั้นตรวจฟ้องว่า นอกจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีชื่ออยู่ในบันทึกการจับกุมแล้ว ยังมีบุคคลอื่นอีกหลายคนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ขณะจับกุมโจทก์ โดยฝ่ายของโจทก์มีเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ซึ่งได้มีการบันทึกภาพและเสียงขณะตรวจค้นจับกุมด้วยเช่นกัน แต่โจทก์
ไม่ได้ชี้ช่องพยานหลักฐานให้เห็นว่าวีดีโอบันทึกภาพและเสียงที่ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชนนั้นเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 กรณีจึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 กระทำความผิดตาม
มาตรา 164 ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562,มาตรา 79 นั้น
เมื่อการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก็โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการทุจริตในวงราชการ ดังนั้น

การจัดให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงขณะเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ด้วยการบันทึกวิดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหว
พร้อมเสียงเป็นพยานหลักฐานเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการที่นำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดซึ่งมีโทษทางอาญาจึงถือเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 4(5 ) มิให้นำพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแก่การดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรทางอาญา การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
พิพากษายกฟ้อง.

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาจำนวน 4 นัด รวมระยะเวลาตั้งแต่วันฟ้องถึงวันอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 3 เดือน 29 วัน

#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ สื่อออนไลน์ ที่ยึดถือ จรรยาบรรณวิชาชีพสื่อครบถ้วน

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img