ศาลฎีกาตัดสินคดี “กนกวรรณ”อดีตรมช.ศธ.ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2566 ผูู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ คมจ.3/2565 ระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ผู้ร้อง นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ผู้คัดค้าน เรื่อง การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 41576 เลขที่ 41577 และเลขที่ 41578 ตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี โดยมิชอบและโดยทุจริต ด้วยการแสดงคุณสมบัติอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ได้รับไป ซึ่งโฉนดที่ดินทั้งสามแปลง ผู้คัดค้านครอบครองที่ดินดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงวันดำรงตำแหน่งตลอดมาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นการถือครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนไม่ดำรงตนให้อยู่ในกรอบของกฎหมายถือเอาประโยชน์ที่ได้จากการกระทำโดยมิชอบ เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมและเป็นการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของรัฐ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จึงเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ผู้คัดค้านให้การปฏิเสธขอให้ยกคำร้อง ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำร้องของผู้ร้องคดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาช้ำกับคดีหมายเลขดำที่ คมจ.2 /2565 หมายเลขแดงที่ คมจ.2 /2566 ของศาลนี้
ศาลฎีกา เห็นว่าในชั้นนี้คดีพอที่จะวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดการไต่สวนตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง พ.ศ. 2561 ข้อ 25 ซึ่งคดีหมายเลขดำที่ คมจ.3 /2565 และคดีนี้ผู้ร้องเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 87 เพื่อให้วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และครอบครองที่ดินซึ่งได้มาโดยมิชอบนั้นจนถึงวันดำรงตำแหน่งตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีคำขอบังคับตามมาตรการจำกัดสิทธิทางการเมืองเป็นอย่างเดียวกันทั้งสองคดี กล่าวคือ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปี เมื่อความปรากฎในระหว่างพิจารณาคดีนี้ว่า ศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำที่ คมจ.2 /2565 มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการนับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2565 ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไปและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว เมื่อคดีนี้มีคำขอบังคับเช่นเดียวกันกับในคดีก่อน โดยมิได้มีคำขอบังคับอย่างอื่นใดอีก การที่ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานและพิพากษาคดีนี้ต่อไป ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีที่จะบังคับตามคำขอบังคับของผู้ร้องในคดีนี้เกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ค้ดค้านที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในตำแหน่งเดียวกันกับในคดีก่อน เพราะศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
ของผู้คัดค้านตลอดไปแล้ว
ส่วนการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นมาตรการจำกัดสิทธิทางการเมืองนั้นมีลักษณะเป็นเพียงคำขออุปกรณ์ในคดีจริยธรรม ดังนั้น เมื่อคดีนี้ศาลไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ เพราะไม่อาจบังคับตามคำขอบังคับหลักของผู้ร้องได้ คำขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ร้องซึ่งเป็นคำขออุปกรณ์
จึงย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยเช่นเดียวกัน ทั้งกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องตันในปัญหาข้อกฎหมายว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่ คมจ.6/2565 หมายเลขแดงที่ คมจ.2 /2566ของศาลนี้ ตามคำร้องของผู้คัดค้านอีกต่อไปให้จำหน่ายคดีเสียออกจากสารบบความ