ที่หน้าอาคารสหประชาชาติ (ราชดำเนินนอก) กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ออกแถลงการณ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 โดยระบุว่า “ประชาชนชาวไทยทุกท่าน
พวกเราซึ่งเป็นหนึ่งในประชาชนชาวไทยเหมือนกับท่านทั้งหลาย ได้รวมตัวกันในนาม “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” เพื่อเป็นเสียงป่าวประกาศแทนประชาชนทั่วประเทศ ว่าไม่ต้องการเห็นเผด็จการ คสช. มีอำนาจครอบงำสังคมไทยอีกต่อไป ลุกขึ้นมาแสดงพลังต่อต้านการเลื่อนการเลือกตั้งและความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. มาตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมกราคม 2561
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 4 เดือน พวกเราจัดกิจกรรมแสดงพลังมาแล้ว 6 ครั้ง
ในทุกครั้งพวกเราได้ส่งเสียงนำเสนอข้อเรียกร้องต่างๆ ที่จะนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งและคืนอำนาจกลับสู่ประชาชนอย่างแท้จริง แต่ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ คสช. และบรรดาบริวารทั้งหลายรับฟังและนำไปปฏิบัติ มิใช่เพราะข้อเสนอของพวกเราเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ แต่เป็นเพราะหูของพวกเขาได้ยินแต่คำเย้ายวนจากปีศาจแห่งความกระหายอำนาจที่อยู่ภายในจิตใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา
ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เราสามารถสรุปได้อย่างหนึ่งว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาคือ 4 ปีแห่งการบ่อนทำลายชาติโดยรัฐบาล คสช. อันประกอบไปด้วยการบ่อนทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน บ่อนทำลายเศรษฐกิจ และบ่อนทำลายอนาคต
ในด้านหลักนิติรัฐนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนนั้น รัฐบาล คสช. ได้สร้างกลไกในรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้ตนใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ โดยมีมาตรา 44 ที่สถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จให้หัวหน้า คสช. ในการออกคำสั่งใดๆ ก็ได้ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม ซึ่งอำนาจเหล่านี้ รัฐธรรมนูญที่พวกพ้องของ คสช. ร่างขึ้น ได้รับรองเอาไว้ในมาตรา 279 มากไปกว่านั้น มาตราดังกล่าวยังได้รับรองการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้ ซึ่งหมายความว่า ความเลวร้ายใดๆ ที่ควรถูกถือกันว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปรกติ ได้ถูกแปรสภาพให้เป็นเสมือนเป็นสิ่งปรกติ อันรวมถึงการนิรโทษกรรมตัวเอง โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ต่อผลกรรมที่เคยก่อขึ้น
นอกจากนี้บทบัญญัติดังกล่าวยังได้ส่งผลกระทบที่ทำให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบมีอำนาจในการออกคำสั่งใดๆ เพื่อเป็นการละเมิดสิทธิประชาชน เพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอ โยกย้ายข้าราชการเพื่อสนับสนุนการใช้อำนาจตามอำเภอใจ และส่งเสริมกลไกในการสืบทอดอำนาจ มีการใช้องค์กรอิสระเพื่อส่งเสริมความมั่นคงของอำนาจของตัวเอง ดังตัวอย่างการอนุมัติให้กรรมการ ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป เพื่อทำให้การตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นของพวกพ้องในรัฐบาล คสช. ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่สามารถเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ดังที่ปรากฎในกรณีนาฬิกา 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ขณะเดียวกัน ประชาชนและสื่อมวลชนก็ได้สูญเสียเสรีภาพในการแสดงออก เพราะการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ถูกตีความว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ มีการเรียกรายงานตัว ปรับทัศนคติ ข่มขู่คุกคามและติดตามกว่า 1,000 ราย ปิดกั้นและแทรกแซงการจัดกิจกรรมซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางวิชาการกว่า 300 ครั้ง ประชาชนถูกดำเนินคดีข้อหาชุมนุมทางการเมืองเกือบ 400 ราย ถูกดำเนินคดีข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะและข้อหายุยงปลุกปั่นรวมกว่า 300 คน พลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารกว่า 2,000 คน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย
ในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาล คสช. ได้ใช้วิธีการหว่านงบประมาณในลักษณะแจกจ่ายเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การดำเนินการโดยที่ขาดสติปัญญาดังกล่าวได้ก่อให้เกิดรายจ่ายเกินรายได้และทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 6 แสนล้านบาทในที่สุด ซ้ำร้ายยังมีการจัดสรรงบประมาณโดยให้ความสำคัญกับกองทัพเป็นอันดับหนึ่ง จึงได้เห็นการเพิ่มงบประมาณให้กับกองทัพ การใช้งบมหาศาลในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ หรือแม้แต่การเกณฑ์ทหารซึ่งควรถูกยกเลิกไปตามบริบทที่เปลี่ยนไปของสงครามทั่วโลกแล้ว ยังไม่นับรวมถึงการทุ่มงบประมาณหลายแสนล้านลงไปกับโครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีได้เดินสายหาเสียง เพื่อปูทางสู่การสืบทอดอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีนอกครรลองประชาธิปไตยผ่านงบประมาณภาษีของประชาชนต่อไป
นอกจากนั้นรัฐบาลเผด็จการยังบ่อนทำลายอนาคต นี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ คสช. ได้มอบให้ไว้ต่อประชาชน รัฐธรรมนูญอันเป็นมรดกของ คสช. นั้นได้มีการวางสารพัดกับดักเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าภาคการเมืองและภาคประชาชนจะอ่อนแอ จนไม่สามารถเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจเผด็จการได้ กล่าวคือ ได้มีวางกับดักที่เปรียบเสมือนการยึดอนาคตของประเทศชาติด้วยการร่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม โดยมี ส.ว. จำนวน 250 คนที่เป็นสมัครพรรคพวกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอำนาจในการกำกับดูแล หมายความว่ากลไกเหล่านี้ก็จะคอยปกป้องคุ้มครองระบอบ คสช. ในดำรงอยู่สืบทอดอำนาจต่อไปอีกแสนนาน
ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงขอสู้อีกครั้ง ด้วยการเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล สถานที่ซึ่ง คสช. ได้ยึดครองและใช้เป็นฐานในการวางไข่เผด็จการมากว่า 4 ปี เข้าไปให้ใกล้พวกเขามากที่สุดด้วยหวังที่จะให้ได้ยินเสียงของประชาชนเสียที แม้ในวันนี้พวกเราจะไปไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ แต่พวกเราจะยังขอตะโกนบอกย้ำกับพวกเขาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่จะเปล่งออกมาได้ ถึงจุดยืนของพวกเราว่า
1. การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามที่ คสช. เคยให้คำมั่นไว้
2. คสช. จะต้องยุติความพยายามใดๆ ที่จะสืบทอดอำนาจหรือเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองต่อไปภายหลังการเลือกตั้ง
3. จะต้องปลดอาวุธ คสช. โดยการยกเลิกประกาศและคำสั่งต่างๆ ของ คสช. ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งรวมถึงประกาศหรือคำสั่งที่ขัดขวางการดำเนินการต่างๆ ของพรรคการเมืองเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยทันที
4. คสช. จะต้องยุติการดำรงอยู่ของตัวเอง และเปลี่ยนสถานะของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลรักษาการโดยทันที เพื่อสร้างหลักประกันในการจัดการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม โปร่งใส และปราศจากการแทรกแซงจาก คสช.
5. กองทัพจะต้องยุติการสนับสนุน คสช. ในทุกประการโดยทันที เพื่อไม่ให้ คสช. มีขุมกำลังในการสืบทอดอำนาจเผด็จการได้อีก
ขอประชาชนชาวไทยทุกคนจงเป็นพยาน ว่าพวกเราได้พยายามทุกวิถีทางแล้วในการเรียกร้องให้ คสช. หยุดความพยายามในการเลื่อนการเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจแต่โดยดี หาก คสช. ยังคงดันทุรังที่จะสานต่อความทะเยอทะยานของตนต่อไป พวกเราก็จะเดินหน้าต่อไปเพื่อโค่นล้มมันให้จงได้เช่นกัน
เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ
กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
แถลง ณ หน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ จุดที่ใกล้ทำเนียบรัฐบาลมากที่สุดเท่าที่พวกเราไปถึง
22 พฤษภาคม 2561”