นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ครม. สัญจร ที่ จ. สุรินทร์ และ บุรีรัมย์ ในวันที่ 7 – 8 พฤษภาคมนี้ ท่ามกลางกระแสดูดนักการเมืองเข้าร่วมรัฐบาลคสช.ว่า รัฐบาลทำระบบสัญจรมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งทำ แต่คงต้องรอดูรูปแบบว่า ทำเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน หรือตอบสนองประชาชนให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ก็ถือเป็นเรื่องดี ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่า ทราบหรือไม่ ที่มีการระบุ มีการระดมทุนถึง 4 หมื่นล้านเพื่อใช้ในการตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนทหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องไปถามคนที่พูดเรื่องนี้ ตนทราบเพียงว่า ได้รับคำยืนยันว่า มีคนในรัฐบาล มีความพยายามจะสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนพรรคการเมือง แต่เราไม่ติดใจ และยืนยันจะสู้ตามแนวทางที่ถูกต้อง แม้จะเสียเปรียบ ส่วนคนที่ทำอะไรโดยไม่อาย ก็มักจะได้เปรียบเป็นธรรมดา จึงขอเรียกร้องให้มีการแข่งขันกันอย่างเสมอภาค แล้วประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบในผลการเลือกตั้ง และเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ก็ควรที่จะเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน โดยแม้จะมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่หากไม่ฟังเสียงประชาชน เชื่อว่า ที่สุดในอนาคตอาจจะมีปัญหาตามมาแน่ เพราะหากเริ่มต้นการเข้าสู่อำนาจที่ไม่สุจริตแล้ว จะเกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาแน่นอน
“เวลาเขามาทาบทาม เขาก็จะบอกว่าไปอยู่กับเขาเถอะ เพราะถ้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครสนับสนุนเรื่องทุน แต่อยู่กับเขา เขาดูแลได้ดีกว่าที่นี่ ซึ่งแม้จะมีกระแสทาบทามอดีตส.ส.ไปสังกัดพรรคใหม่ แต่ผมยังมั่นใจว่า อดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ยังพร้อมที่จะทำงานกับพรรค และยังไม่มีใครมาบอกว่าจะไปอยู่ที่อื่น ยกเว้น 1-2 คนที่มีเหตุผลส่วนตัวเพราะญาติพี่น้องไปตั้งพรรคแล้วต้องไปช่วย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็ต้องเคารพการตัดสินใจ ซึ่งขณะนี้พรรคเองมีคนรุ่นใหม่อายุ 25-30 ปีเศษที่ต้องการเข้ามาทำงานการเมือง และพร้อมที่จะอยากจะมาช่วยพัฒนาบ้านเมือง โดยพรรคเตรียมพร้อมที่จะปฏิรูปพรรค ให้สมาชิกมีส่วนร่วมโดยตรงในการหยั่งเสียงโหวตเลือกหัวหน้าพรรค ”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าของฉายาโหร คมช.ระบุว่า รัฐบาลหน้าจะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ แต่พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้าน ทั้งสองพรรคจะจับมือกันตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเป็นฝ่ายค้าน คงไม่ต้องจับมือกัน และพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันเราทำงานตามอุดมการณ์และแนวทางของพรรค แต่ขณะนี้ยังไม่อยากให้พูดอะไรล่วงหน้า เพราะยังไม่มีการเลือกตั้ง เป็นแต่การคาดการณ์ทั้งสิ้น จึงยังไม่มีใครทราบว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างอยู่ที่การเสนอนโยบายในการพัฒนาประเทศให้ประชาชนเลือก
“มีสิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ เศรษฐกิจปากท้องค่าครองชีพของประชาชน ที่ลำบากและความเป็นอยู่แย่ลง แม้ตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐจะดีขึ้น แต่ข้อเท็จจริงสวนทางกัน จึงต้องมีดูว่า การใช้ จีดีพีวัดมูลค่าเศรษฐกิจของชาติ มันสะท้อนความเป็นจริงที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่หรือไม่ หรือต้องมาทบทวน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่เตรียมนัดชุมนุมในเดือนพฤษภาคมนี้ว่า ก็ต้องเคารพสิทธิของคนที่ต้องการแสดงออกที่มีความเห็นต่าง ขณะเดียวกันคงไม่มีใครอยากเห็นความวุ่นวายเกิดขึ้น เพราะเกรงจะมีความสุ่มเสี่ยงที่บ้านเมืองจะหันเหไปทางอื่น แทนที่จะกลับสู่เส้นทางการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการยืนยันสมาชิกพรรคเดิมที่ใกล้ครบกำหนดในสิ้นเดือนนี้ว่า มีรายงานเข้ามาว่ามีสมาชิกยืนยันหลักหมื่น ซึ่งลดลงจำนวนมาก แต่ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะไม่สามารถจัดกิจกรรมหรือประชาสัมพันธ์ได้ ต้องใช้วิธีสื่อสารถึงตัว และสมาชิกจำนวนมากเป็นสมาชิกอยู่แล้ว จึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยืนยันและทำไมจะต้องจ่ายเงิน ทั้งที่เคยจ่ายมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยืนยันสมาชิกได้ทันตามกำหนดเวลา เพราะต้องใช้เวลาในการพูดคุยทำความเข้าใจ แต่ประเด็นนี้ได้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญไปแล้วว่าเป็นข้อจำกัด และขณะนี้สิ่งที่น่ากังวลคือการจัดทำเอกสารเพื่อส่งกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ที่จะต้องดำเนินการในเวลาจำกัดด้วย