4 ก.ย. 63 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป., พ.ต.อ.ณัฐพล ปิตะบุตร รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.สนั่น ดงเวหน ผกก.สภ.ตากฟ้า, พ.ต.อ.ชาลี เดชศิริ ผกก.สภ.หน้าพระลาน, ว่าที่ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4.บก.ป., พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ เกิดเอี่ยม รอง ผกก.๔ บก.ป., พ.ต.ท.มนูญ แก้วก่ำ รอง ผกก.4.บก.ป., พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ ปานสีทา รอง ผกก.3.บก.ป., พ.ต.ท.ธีรภาส ยั่งยืน รอง ผกก.4.บก.ป.
พ.ต.ท.ภัทรพันธ์ พูลทวี สว.กก.4.บก.ป., พ.ต.ต.พิทยา คงเจริญ สว.กก.4.บก.ป.,พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ตากฟ้า และ สภ.หน้าพระลาน
ได้ร่วมกันจับกุม นายจารุกิตติ หรือติ (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดนครสวรรค์ ที่ จ.174/2562ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน 2562 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”
จับกุม บริเวณหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ย่าน ถ.พหลโยธิน ม.7.ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี
สืบเนื่องมาจากเมื่อประมาณวันที่ 1 กันยายน 2563 นายสรวิทย์ฯ (ผู้เสียหาย) ซึ่งเป็นเจ้าของคอลัมภ์คุณชายตะลอนชิมของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ทราบว่ามีคนร้ายแอบอ้างชื่อของตนเอง โทรศัพท์มาหลอกลวง น.ส.สมจินทร์ฯ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่เคยได้รับการลงคอลัมภ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ให้ทำการโอนเงินร่วมทำบุญ ซึ่ง น.ส.สมจินทร์ฯ หลงเชื่อว่าเป็นนายสรวิทย์ฯ จริง จึงทำการโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของคนร้าย เป็นเงินจำนวน 2,000 บาท นายสรวิทย์ฯ ได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว จึงได้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ สน.บางซื่อ
ซึ่งต่อมานายสรวิทย์ฯ ได้ประสานขอความช่วยเหลือมายังกองบังคับการปราบปราม ให้ช่วยทำการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว ทางผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4.บก.ป. ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่า นายจารุกิตติฯ เป็นผู้ก่อเหตุ
จนกระทั่งวันที่ 3 กันยายน 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้รับแจ้งว่า นายจารุกิตติฯ ผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีมาทำงานอยูที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ย่าน ถ.พหลโยธิน ม.7.ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ และพบผู้ต้องหายืนอยู่บริวณหน้าบริษัทฯดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าจับกุมพร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสอบถาม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวจริง โดยทำทีแอบอ้างเป็นเจ้าของคอลัมภ์หนังสือพิมพ์ดังกล่าว แล้วโทรศัพท์ไปหลอกลวงเหยื่อ เชิญชวนให้ร่วมทำบุญ ซึ่งเมื่อได้เงินจากการหลอกลวงแล้วจะนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผู้ต้องหายังให้การอีกว่า เคยก่อเหตุลักษณะแบบนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง
กองบังคับการปราบปราม จึงขอประชาสัมพันธ์และฝากเตือนภัยประชาชน หากมีคนใกล้ตัวหรือคนที่ท่านรู้จักคุ้นเคย โทรศัพท์ติดต่อมายังท่านให้ร่วมทำบุญ หรือให้ร่วมบริจาคเงินต่างๆ ท่านควรตรวจสอบข้อมูลของบุคคลนั้นๆ ให้แน่ชัดเสียก่อนทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ และสำหรับผู้ที่จะกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงผู้อื่น หรือแอบอ้างตัวเป็นบุคคลอื่น การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นความผิดทางอาญา จะต้องถูกดำเนินคดีและรับโทษตามกฎหมาย