กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.55-32.00 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 31.71 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยเงินบาทยังคงเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่องและแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 สัปดาห์ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 1.2 พันล้านบาทและ 1.8 พันล้านบาทตามลำดับ มองว่าตลาดจะให้ความสนใจกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังเพิ่มเติมทั้งในสหรัฐฯและยุโรปหลังดอลลาร์แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับยูโรในสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยสภาคองเกรสของสหรัฐฯจะหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายเยียวยาความเสียหายจากวิกฤตไวรัสในสัปดาห์นี้ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) ยังคงหารือในเรื่องมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจสำหรับประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจาก COVID-19 หลังยังไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องกองทุนฟื้นฟูมูลค่า 7.5 แสนล้านยูโรเนื่องจากกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยในยุโรปเหนือต้องการจำกัดความช่วยเหลือในรูปแบบของเงินให้เปล่าไว้ที่ 3.5 แสนล้านยูโรอย่างไรก็ดีตลาดมีความหวังว่าผู้นำอียูจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในเดือนสิงหาคมนอกจากนี้ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2 ของจีนซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดไว้รวมถึงข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนอาจหนุนสกุลเงินที่มีความเชื่อมโยงสูงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาทิเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอย่างไรก็ตามบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มเป็นไปอย่างระมัดระวังท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดในสหรัฐฯซึ่งยังคงย่ำแย่
สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาดของ COVID-19 ได้ในปี 2565 และต้องรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายไว้ใช้หากสถานการณ์เลวร้ายลงจากความไม่แน่นอนสูงขณะที่ทางการจะดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนมากเกินไปและกำลังศึกษามาตรการ Yield Curve Control หรือมาตรการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนนอกจากนี้ธปท.ระบุในจดหมายเปิดผนึกชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อออกนอกกรอบเป้าหมายว่านโยบายการเงินยังต้องผ่อนคลายต่อไปโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ -0.9% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงินเรามองว่าเงินบาทยังคงมีทิศทางอ่อนค่าในระยะนี้ท่ามกลางปัจจัยความไม่แน่นอนซึ่งรวมถึงการรับมือความเสี่ยงของการแพร่ระบาดรอบสองและความคืบหน้าในการจัดสรรทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล