เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 5/2563 โดยครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยมีผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพเข้าร่วม ทั้ง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยในที่ประชุม จะเปิดโอกาสให้แต่ละเหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงประเด็นให้ทราบตามลำดับ ส่วนใหญ่จะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของแต่ละเหล่าทัพ และแนวทางสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ทั้งด้านความมั่นคง การดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ หรือโรคโควิด-19 โดยช่วงท้ายการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะสั่งการและมอบนโยบายให้กับทุกเหล่าทัพ จากนั้นทีมโฆษกของแต่ละเหล่าทัพ จะมีการแถลงผลการประชุมต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง
พล.ต.ธีร์พงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ได้ประชุมหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการปฏิบัติงานในอนาคต โดยกองบัญชาการกองทัพไทย จะมีการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตแผนที่ให้ทันสมัย รวดเร็ว ทันกับการพัฒนาประเทศและบริการข้อมูลแผนที่ทางบกให้ใช้งานได้ง่าย สะดวก รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถในการเชื่อมโยงกับแผนที่ทางทะเล แผนที่ทางอากาศได้ เพื่อบูรณาการข้อมูลแผนที่ของกองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพให้เป็นข้อมูลแผนที่กลางของกองทัพไทยในการปฏิบัติการทางทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านกองทัพบก กำหนดให้ปี 2563 เป็น ‘ปีแห่งการพัฒนาความรู้ และความสามารถทางทหารของกำลังพลกองทัพบกในทุกระดับ’ โดยกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญได้แก่ การยกระดับมาตรฐานความแข็งแรงทางด้านร่างกาย, การพัฒนาด้านความรู้, การพัฒนาความชำนาญทางทหาร และการปรับปรุงพัฒนาการฝึกให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้กำลังของกำลังพล นอกจากนี้ ยังได้จัดทำคู่มือทหารต้านโควิด-19 เพื่อให้สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมแห่งชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามมาตรการควบคุมหลักของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของการเป็นกองทัพที่มีศักยภาพ ทันสมัย เป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน และเป็นหนึ่งในกองทัพบกชั้นนำของภูมิภาค
พล.ต.หญิง ฉัตรรพี พูนศรี โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า สำหรับกองทัพเรือ มีการเตรียมความพร้อมในการรองรับสงครามอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapon of Mass Destruction : WMD) ได้แก่ อาวุธเคมี ชีวะ รังสี และนิวเคลียร์ หรืออาวุธ คชรน. (Chemical-Biological-Radiological and Nuclear : CBRN) โดยได้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ ที่ขนานนามว่า ‘นักรบ คชรน.’ ทำหน้าที่หลักใน 3 ด้าน ได้แก่ ปฏิบัติการป้องกันสงครามนิวเคลียร์ ชีวะ เคมี, ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้อาวุธทำลายล้างสูง และปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย เพื่อปฏิบัติภารกิจร่วมกับมิตรประเทศและเข้าร่วมกับสหประชาชาติได้อย่างสอดประสาน มุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติเกิดความมั่นใจว่า ‘ทำได้จริง ควบคุมได้จริง’ สามารถนำไปสู่ขั้นการปฏิบัติได้โดยอัตโนมัติทั้งในการปฏิบัติการเรือ การปฏิบัติการทางบก และการช่วยเหลือประชาชน
ด้านกองทัพอากาศ การพัฒนาขีดความสามารถกำลังทางอากาศ ทั้งมิติทางอากาศ (Air Domain) มิติไซเบอร์ (Cyber Domain) และมิติอวกาศ (Space Domain) บนแนวคิดการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Operations) ใน ๖ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาที่อยู่บนฐานคิดของการเปลี่ยนแปลงจากภัยคุกคามแบบดั้งเดิม, การพัฒนามิติทางอากาศ, การพัฒนามิติทางไซเบอร์, การพัฒนามิติอวกาศ, การพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วม และการพัฒนาขีดความสามารถในการพัฒนายุทธวิธีการรบทางอากาศ เพื่อขับเคลื่อนสู่การเป็นกองทัพอากาศชั้นนำในภูมิภาค
ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในการประสานการปฏิบัติกับกลไกหลักของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศผ่านกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (กอ.รมน.จว.) ขับเคลื่อนการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศในลักษณะการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ อาทิ ฝ่ายปกครอง ทหาร กระทรวงสาธารณสุข มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการควบคุม กำกับดูแล สั่งการและติดต่อสื่อสารกับหน่วยต่างๆ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดและป้องกันปราบปรามอาชญากรที่ฉวยโอกาสก่อเหตุในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มของผู้ติดเชื้อลดลงจนอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ อันจะส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
พล.ท.อภิสิทธิ์ นุชบุษบา หัวหน้าโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้กล่าวขอบคุณทุกเหล่าทัพที่สนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และให้เตรียมพร้อมฟื้นฟูด้านต่างๆ หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ส่วนปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย หลังในประเทศไทย เริ่มผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กำชับกองกำลังป้องกันชายแดน ร่วมกับตำรวจ ป้องกันตลอดแนวชายแดนไทย ลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิดโดยเฉพาะพื้นที่ภาค 3 ให้เข้มงวดการตรวจสอบบุคคลเข้ามาภายในประเทศมากยิ่งขึ้น หลังพบมีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาภายในประเทศและพบว่าติดโรคโควิค-19 ในเบื้องต้นมีการ นำลวดหนามวางไว้ตลอดตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาภายในประเทศไทย
นอกจากนี้ยังเน้นย้ำให้ทุกเหล่าทัพ เตรียมข้อมูลชี้แจงงบประมาณของเหล่าทัพ ประจำปี 2564 ตามข้อเท็จจริง พร้อมตอบทุกข้อสงสัย ขณะเดียวกันยังเน้นย้ำในที่ประชุมฯ ให้เตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชนจากภัยธรรมชาติในช่วงฤดูฝนนี้ และยังกำชับกำลังพลทุกเหล่าทัพ ให้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ให้กระทบต่อความมั่นคง และปฏิบัติตามแนวทาง ‘รวมไทย สร้างชาติ’ เพื่อสร้างความสามัคคีให้กับคนในชาติ