1.บุคคลนั้นระบุว่า ไม่เคยให้ชื่อใคร หรือรับเงินจากใคร น่าจะมีคนเอาชื่อไปใส่โดยไม่รู้ไม่เห็น
2.บุคคลนั้นยืนยันว่า มีบุคคลอีก 4 รายใน 30 ชื่อ ที่วันเลือกตั้งไม่ได้มาใช้สิทธิ์ เนื่องจากอยู่คนละจังหวัด แต่กลับปรากฏชื่อในบัญชี “ผู้ทำโพล” และเชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด
ตนเองเชื่อในความบริสุทธิ์ใจที่โทรมาเล่าเรื่องราวต่างๆ และพอสันนิษฐานได้ว่า
1.บัญชี “ผู้ทำโพล” อาจจะมีทั้งที่ “จ่ายจริง” และ “ใส่ชื่อเอง” โดยเป็นชื่อที่เอามาใส่โดยเจ้าตัวไม่รู้ เพื่อเป็น “บัญชีเบิก” ให้เต็มโควต้าที่ได้มา 30 คน
2.คนที่ถูกเอาชื่อมานี้ อาจไม่ทราบ หรือ อาจถูกญาติพี่น้องใส่ชื่อเพื่อรับประโยชน์แทน
3.สำหรับคนที่ไม่อยู่จริงในวันเลือกตั้ง น่าสนใจว่าได้มีผู้ไปใช้สิทธิแทนหรือไม่ หากปรากฏว่ามีผู้มาใช้สิทธิแทน แสดงถึง กรรมการประจำหน่วยมีปัญหา ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ต้องแจ้งความดำเนินคดีต่อกรรมการประจำหน่วย
โดยแนวทางการพิสูจน์ไม่ยาก
1.ให้ผู้เสียหาย คือ ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย ร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งโดยหยิบยกประเด็นการรวบรวมรายชื่อคนเพื่อเตรียมการซื้อเสียงที่อ้างว่าเป็นบัญชีผู้ทำโพล
และ สอบผู้มีชื่อดังกล่าวทั้ง 30 รายว่า มีใครมาจดชื่อ เก็บรวบรวมบัตรหรือให้ประโยชน์อื่นใด
2.สอบว่าบุคคลทั้ง 30 คนได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ 3. หากพบว่ามีหลายคนที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ขอให้ กกต. มีคำสั่งเปิดหีบเพื่อดูหลักฐานว่า บุคคลดังกล่าวมีผู้ไปลงชื่อใช้สิทธิแทนหรือไม่ หรือมีลายเซ็นของผู้ใช้สิทธิตรงกับลายเซ็นจริงของคนเหล่านี้หรือไม่ เชื่อว่า วิธีการเหล่านี้ สำนักงาน กกต.ทราบดีแล้วว่า เป็นแนวทางที่ต้องดำเนินการ เพราะเป็นหน่วยงานที่มีประวัติการจัดการเลือกตั้งมากว่า 20 ปี และปรารถนาที่จะเห็นการเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม จึงไม่จำเป็นต้องแนะนำสิ่งใดอีก