นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฎกรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำเนินการตรวจสอบการทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งยิ่งตรวจสอบยิ่งพบพฤติการณ์ฉ้อโกงเงินคนจนกันอย่างเป็นกระบวนการ และอย่างไม่ละอาย จนกระทั่งหัวหน้า คสช.ต้องใช้อำนาจตามม.44 สั่งย้ายปลัดและรองปลัดกระทรวง พม. ไปประจำสำนักนายกฯนั้น
กรณีดังกล่าว เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นขบวนการใหญ่ระดับประเทศที่มีการสมคบคิดกันอย่างเป็นกระบวนการดำเนินการกันเกือบทุกจังหวัด ซึ่งข้าราชการ พม.ระดับเล็ก ๆ คงไม่กล้ากระทำหากไม่ได้รับการคุ้มครองจากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง ยันถึงระดับนโยบาย ดังนั้นการที่กระทรวง พม.ตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงจึงไม่ใช่ข้อยุติในการหาผู้กระทำความผิดในครั้งนี้ ได้ทั้งหมด เพราะไม่สามารถสอบไปถึงผู้บริหารในระดับนโยบายได้ นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนั้นกระทรวง พม.ไม่ใช่แต่จะมีโครงการช่วยเหลือผู้ยากไร้แต่เฉพาะคนไร้ที่พึ่ง-ผู้ป่วยเอดส์เท่านั้น หากแต่มีอีกหลายโครงการที่ใช้เงินงบประมาณหลายหมื่นล้านบาท โดยเฉพาะ “โครงการบ้านมั่นคง” ที่มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตอย่างมหาศาลอีกด้วย ดังนั้นสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงขอเรียกร้องให้ “คณะกรรมการธุรกรรม” ภายใต้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เร่งรับเข้ามาใช้อำนาจตามมาตรา 48 แห่ง พรบ.ป้องกันปละปราบปรามการฟอกเงิน 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินและเส้นทางทางการเงินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตั้งแต่พนักงานเจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัดทุกจังหวัดไปจนถึงระดับนโยบาย ระดับรัฐมนตรี และระดับรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวง พม.ด้วย เพื่อจะสามารถยับยั้งการโยกย้ายถ่ายโอนเงินที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดในหลาย ๆ โครงการฯได้ทันการณ์ เพื่อเสนอผลการตรวจสอบให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
“ทั้งนี้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ใช้สิทธิตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ประกอบ พรบ.ปปง.2542 มาตรา 25(4) เพื่อปกป้องเงินจากภาษีประชาชนและนำผู้กระทำความผิดที่แท้จริงทั้งกระบวนการมารับโทษได้ต่อไป” นายศรีสุวรรณ กล่าว