นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลคสช. ว่า การปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น เป็นวาทกรรมที่ใช้ดำเนินการกับบางฝ่ายและไม่ดำเนินการกับบางฝ่าย หรือ สองมาตรฐานหรือไม่ จากผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 3 ปี เงินใต้โต๊ะที่เอกชนจ่ายแตะสูงสุดเฉียด 200,000 ล้านบาท หรืออยู่ที่ 5-15% ของมูลค่าโครงการ สร้างความเสียหายต่อจีดีพี 0.41-1.23% คนไทยกังวลและเป็นห่วงสถานการณ์ที่การคอร์รัปชันกลับมาเป็นปัญหาใหญ่สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า แทนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.จะได้ตระหนักและไปตรวจสอบ กลับใช้วิธีเรียกผู้ออกผลสำรวจไปชี้แจง ขนาดนายต่อตระกูล ยมนาค ประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต ในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน ได้ทำหนังสือถึงประธานคตช.พิจารณาให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พ้นจากการเป็นกรรมการคตช.อันเนื่องมาจากกรณีนาฬิกาหรู นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันหนึ่งในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.)ที่บอกว่า ถ้ารัฐบาลไม่จริงจังเรื่องการปราบปรามคอรัปชันจะทำให้คนสนับสนุนถดถอยไป พลเอกประยุทธ์ กลับบอกว่า อย่าพูดให้เกิดความสับสน
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า การที่คนในเครือข่ายของรัฐบาล และ คสช. หรือคนที่ท่านตั้งมากับมือ ออกมาเรียกร้องเอง ท่านให้ราคาเป็นแค่เสียงนกเสียงกา การตรวจสอบทำในลักษณะปากว่าตาขยิบ ที่สำคัญคืนนี้ตีหนึ่งจะมีการเปิดเผย ผลดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) จัดทำโดย องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ที่ปีที่แล้วประเทศไทยตกจากอันดับ 76 ไปอยู่ที่ 101 จาก 176 ประเทศ ต้องรอดูว่า ปีนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร จะสอดคล้องหรือเป็นไปในแนวเดียวกับผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หรือเรื่องอื้อฉาวนาฬิกาหรู ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด